หลักการอิสลาม 5 ประการมีอะไรบ้าง?

คำตอบ:
ความสำคัญที่ /1
คำถาม / หลักการอิสลาม 5 ประการมีอะไรบ้าง?
คำตอบ : อิสลามตั้งอยู่บนเสาหลัก 5 ประการที่ท่านเราะสูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได้อธิบายเอาไว้ในคำกล่าวของท่านที่ว่า :(อิสลามนั้นถูกสร้างอยู่บนหลักการห้าประการ นั่นคือ การปฎิญานตนว่าไม่มีพระเจ้าอื่นใดที่ควรแก่การเคารพภักดีนอกจากอัลลอฮ์ และมุฮัมมัดนั้นคือเราะสูลของอัลลอฮ์ การดำรงไว้ซึ่งการละหมาด การจ่ายซะกาต การประกอบพิธีหัจญ์ และการถือศีลอดในเดือนเราะมะฎอน)(บันทึกโดยอัล-บุคอรีย์ และมุสลิม)
ประการแรก คือ การปฏิญาณตนว่าไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากอัลลอฮ์ และมุฮัมมัดคือเราะสูลของพระองค์ กล่าวคือ การยึดมั่นว่าไม่มีพระเจ้าอื่นใดที่ถูกกราบไว้โดยเที่ยงแท้นอกจากอัลลอฮ์ ตะอาลา พร้อมทั้งรู้ความหมายของคำปฏิญาณนั้น และจำเป็นต้องปฏิเสธพระเจ้าจอมปลอมทั้งหลาย ยอมจำนนต่อบทบัญญัติของอัลลอฮ์ ตะอาลา และต้องบริสุทธิ์ใจต่ออัลลอฮ์ ด้วยความรักและการถวายเกียรติแด่พระองค์มนุษย์ต้องยึดมั่นว่าแท้จริงอัลลอฮ์คือพระเจ้า ผู้ทรงอภิสิทธิ์ในการบริหารจัดการ ผู้ทรงสร้าง และผู้ทรงให้ปัจจัยยังชีพเพียงองค์เดียวเท่านั้น และต้องยืนยันว่าพระองค์ทรงมีพระนามที่งดงามที่สุดและทรงมีคุณลักษณะอันสูงส่งที่พระองค์ทรงยืนยันด้วยพระองค์เอง หรือที่เราะสูลของพระองค์ได้ยืนยันเอาไว้และต้องยึดมั่นว่า แท้จริงอัลลอฮ์เพียงองค์เดียวเท่านั้นที่สมควรได้รับการเคารพอิบาดะฮ์ เพราะพระองค์เท่านั้นคือผู้ทรงสร้าง ไม่มีภาคีใดๆ สำหรับพระองค์ ดั่งคำตรัสของพระองค์ที่ว่า:﴿بَدِیعُ ٱلسَّمَـٰوَٰتِ وَٱلۡأَرۡضِۖ أَنَّىٰ یَكُونُ لَهُۥ وَلَدࣱ وَلَمۡ تَكُن لَّهُۥ صَـٰحِبَةࣱۖ وَخَلَقَ كُلَّ شَیۡءࣲۖ وَهُوَ بِكُلِّ شَیۡءٍ عَلِیمࣱ (พระผู้ทรงประดิษฐ์ บรรดาชั้นฟ้าและแผ่นดิน อย่างไรเล่าที่พระองค์จะทรงมีพระบุตรโดยที่พระองค์มิได้ทรงมีคู่ครอง? และพระองค์นั้นทรงบังเกิดทุกสิ่งทุกอย่าง และพระองค์ก็ทรงรู้ในทุกสิ่งทุกอย่างذَٰلِكُمُ ٱللَّهُ رَبُّكُمۡۖ لَاۤ إِلَـٰهَ إِلَّا هُوَۖ خَـٰلِقُ كُلِّ شَیۡءࣲ فَٱعۡبُدُوهُۚ وَهُوَ عَلَىٰ كُلِّ شَیۡءࣲ وَكِیلࣱ﴾ นั่นแหละคืออัลลอฮ์ ผู้เป็นพระเจ้าของพวกเจ้า ไม่มีพระเจ้าอื่นใดที่ควรได้รับการเคารพสักการะนอกจากพระองค์เท่านั้น ผู้ทรงบังเกิดทุกสิ่งทุกอย่าง ดังนั้นพวกเจ้าจงเคารพสักการะพระองค์เถิด และพระองค์ทรงเป็นผู้รับมอบหมายให้คุ้มครองรักษาในทุกสิ่งทุกอย่าง)(ซูเราะฮ์ อัล-อันอาม : 101 - 102)

และปฏิญาณตนว่ามุฮัมมัด บิน อับดุลลอฮ์ บิน อับดุลมุฏฏอลิบ อัล-ฮาชิมี่ อัล-กุเราะชี่ คือนบีคนสุดท้าย และเป็นเราะสูลที่มีเกียรติที่สุด พร้อมทั้งยึดมั่นต่อบทบัญญัติของท่านและเชิดชูท่านตามที่ระบุไว้ในบทบัญญัติโดยไม่ลดเกียรติให้ต่ำลงหรือไม่เชิดชูท่านอย่างสุดโต่งส่วนหนึ่งที่เป็นการลดเกียรติท่านคือ การไม่ปฏิบัติตามสุนนะฮ์ของท่าน และส่วนหนึ่งของการเชิดชูท่านอย่างสุดโต่งคือ การเคารพสักการะท่านปราศจากอัลลอฮ์ ตะอาลา เช่น  การสาบาน และการขอดุอาอ์ต่อท่าน หรืออื่นๆ ที่ไม่อนุญาตทำเพื่อสิ่งอื่นใดนอกจากเพื่ออัลลอฮ์ ตะอาลา เท่านั้นนอกจากนี้ มนุษย์จะต้องยึดมั่นว่า แท้จริงอัลลอฮ์ ได้ส่งเราะสูลของพระองค์ที่ชื่อมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม และทรงประทานคัมภีร์อัลกุรอานให้แก่เขา และทรงสั่งใช้ให้เขาทำการเผยแพร่ศาสนานี้ไปยังมนุษยชาติ และต้องยึดมั่นว่าความรักและการเชื่อฟังต่ออัลลอฮ์และเราะสูลของพระองค์เป็นวาญิบสำหรับทุกคน และความรักที่มีต่ออัลลอฮ์จะยังไม่เกิดขึ้น ยกเว้นจะต้องปฏิบัติตามเราะสูลของพระองค์เสียก่อน อัลลอฮ์ สุบฮานะฮูวะตะอาลา ทรงตรัสว่า:﴿قُلۡ إِن كُنتُمۡ تُحِبُّونَ ٱللَّهَ فَٱتَّبِعُونِی یُحۡبِبۡكُمُ ٱللَّهُ وَیَغۡفِرۡ لَكُمۡ ذُنُوبَكُمۡۚ وَٱللَّهُ غَفُورࣱ رَّحِیمࣱ﴾ (จงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด) ว่า หากพวกท่านรักอัลลอฮ์ ก็จงปฏิบัติตามฉัน อัลลอฮ์ก็จะทรงรักพวกท่าน และจะทรงอภัยให้แก่พวกท่านซึ่งโทษทั้งหลายของพวกท่าน และอัลลอฮ์นั้นเป็นผู้ทรงอภัยโทษ ผู้ทรงเมตตาเสมอ)(สูเราะฮ์ อาลิอิมรอน : 31)

และจำเป็นต้องปฏิบัติตามในสิ่งที่ท่านใช้ และเชื่อในสิ่งที่ท่านบอก และหลีกห่างจากสิ่งที่ท่านห้ามและเตือนเอาไว้ และจะต้องเคารพอิบาดะฮ์ต่ออัลลอฮ์ตามที่ท่านบัญญัติไว้เท่านั้น ไม่ใช่ทำตามสิ่งที่มนุษย์ประดิษฐ์ขึ้นมา
วิทยปัญญา (ฮิกมะฮ์) ของการส่งเราะสูลมาก็คือ การชี้นำผู้คนและแนะนำพวกเขาไปสู่สิ่งที่ดีและชอบธรรมสำหรับพวกเขา ทั้งในด้านศาสนาและการใช้ชีวิตในโลกนี้ของพวกเขา และชี้นำไปสู่สิ่งที่พระเจ้าของพวกเขาพอพระทัย
ประการที่สอง : การดำรงไว้ซึ่งการละหมาด ซึ่งการละหมาดนั้น เป็นการอิบาดะฮ์ต่ออัลลอฮ์ด้วยคำพูดและการกระทำที่มีรูปแบบเฉพาะ เริ่มต้นด้วยการกล่าวตักบีรและสิ้นสุดด้วยการกล่าวสลาม
ซึ่งการละหมาดนั้นมี 5 เวลาต่อวัน ได้แก่ ละหมาดฟัจญ์รี ละหมาดซุฮ์รี ละหมาดอัสรี ละหมาดมัฆริบ และละหมาดอีชาอ์
และการละหมาด 5 เวลานั้น ถือเป็นวาญิบสำหรับมุสลิมทุกคน
อัลลอฮ์ ตะอาลา ได้ตรัสไว้ว่า:{إِنَّ ٱلصَّلَوٰةَ كَانَتۡ عَلَى ٱلۡمُؤۡمِنِینَ كِتَـٰبࣰا مَّوۡقُوتࣰا} (แท้จริงการละหมาดนั้น เป็นบัญญัติที่ถูกกำหนดเวลาไว้แก่ผู้ศรัทธาทั้งหลาย)(สูเราะฮ์ อัน-นิซาอ์ : 103)

และส่วนหนึ่งจากฮิกมะฮ์ของการละหมาดก็คือ มันเป็นการเชื่อมสัมพันธ์ระหว่างบ่าวกับพระเจ้าของเขา เป็นการทำให้จิตใจสงบและมีความสงบนิ่งและยับยั้งการทำลามกและความชั่ว และอื่นๆ
ประการที่สาม : การจ่ายซะกาต ซึ่งเป็นสิทธิ์ที่วาญิบเหนือทรัพย์สินที่เจาะจงแน่นอน ให้แก่กลุ่มบุคคลที่แน่นอน ในเวลาที่ชัดเจนแน่นอน และเป็นหนึ่งในหลักการของอิสลาม เป็นการบริจาคทานที่เป็นวาญิบ โดยเก็บจากคนรวยและแจกจ่ายให้แก่คนยากจน
อัลลอฮ์ ตะอาลา ได้ตรัสไว้ว่า:﴿خُذۡ مِنۡ أَمۡوَٰلِهِمۡ صَدَقَةࣰ تُطَهِّرُهُمۡ وَتُزَكِّیهِم بِهَا﴾ ((มุฮัมมัด) เจ้าจงเอาส่วนหนึ่งจากทรัพย์สมบัติของพวกเขาเป็นทาน เพื่อทำให้พวกเขาบริสุทธิ์ และล้างมลทินของพวกเขาด้วยทานนั้น)(สูเราะฮ์ อัตเตาบะฮ์ : 103)
และส่วนหนึ่งจากฮิกมะฮ์ของการจ่ายซะกาตคือ ทำให้ทรัพย์สินนั้นบริสุทธิ์และทำให้เกิดการเพิ่มพูน ช่วยขัดเกลาจิตใจจากความตระหนี่ขี้เหนียว และเสริมสร้างความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างคนรวยกับคนจน ดังนั้นทำให้ความเกลียดชังได้หายไป ทำให้เกิดความสงบสุขกระจายไปทั่วทุกที่ และทำให้ประชาชาติมีความสุข.
ประการที่สี่ : การถือศีลอดในเดือนเราะมะฎอน ซึ่งมันคือการอดกลั้นจากสิ่งที่ทำให้เสียศีลอดทุกประการ เช่น การกิน การดื่ม การมีเพศสัมพันธ์ช่วงเวลากลางวันในเดือนที่ 9 ของปีฮิจเราะฮ์ศักราช
อัลลอฮ์ ตะอาลา ได้ตรัสไว้ว่า:﴿شَهۡرُ رَمَضَانَ ٱلَّذِیۤ أُنزِلَ فِیهِ ٱلۡقُرۡءَانُ هُدࣰى لِّلنَّاسِ وَبَیِّنَـٰتࣲ مِّنَ ٱلۡهُدَىٰ وَٱلۡفُرۡقَانِۚ فَمَن شَهِدَ مِنكُمُ ٱلشَّهۡرَ فَلۡیَصُمۡهُۖ﴾ (เดือนเราะมาฎอนนั้น เป็นเดือนที่อัลกรุอานได้ถูกประทานลงมาในฐานะเป็นข้อแนะนำสำหรับมนุษย์ และเป็นหลักฐานอันชัดเจนเกี่ยวกับข้อแนะนำนั้น และเกี่ยวกับสิ่งที่จำแนกระหว่างความจริงกับความเท็จ ดังนั้นผู้ใดในหมู่พวกเจ้าเข้าอยู่ในเดือนนั้นแล้ว ก็จงถือศีลอดในเดือนนั้น)(สูเราะฮ์ อัลบะกอเราะฮ์ : 185 )

และส่วนหนึ่งจากฮิกมะฮ์ของการถือศีลอดคือ การถือศีลอดเป็นวิธีการหนึ่งในการบรรลุถึงความยำเกรงต่ออัลลอฮ์ อัซซะวะญัล
และทำให้ผู้ถือศีลอดได้รู้สึกถึงความโปรดปราณของอัลลอฮ์ ตะอาลา ที่มีต่อเขา
และทำให้ผู้ถือศีลอดได้นึกถึงพี่น้องของเขาที่ยากจนและขัดสน
การถือศีลอดเป็นการรวมความรู้สึกของมุสลิมเป็นหนึ่งเดียว
การถือศีลอดทำให้ร่างกายแข็งแรงและสุขภาพที่ดี
และอื่นๆ เป็นต้น
ประการที่ห้า :การประกอบพิธีฮัจญ์ : คือการไปเยี่ยมเยียนสถานที่อันศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ ในนครมักกะฮ์ 1 ครั้งในชีวิตสำหรับผู้ที่มีความสามารถ ทั้งนี้เพื่อประกอบพิธีกรรมบางอย่าง
อัลลอฮ์ ตะอาลา ได้ตรัสไว้ว่า:﴿وَلِلَّهِ عَلَى ٱلنَّاسِ حِجُّ ٱلۡبَیۡتِ مَنِ ٱسۡتَطَاعَ إِلَیۡهِ سَبِیلࣰاۚ وَمَن كَفَرَ فَإِنَّ ٱللَّهَ غَنِیٌّ عَنِ ٱلۡعَـٰلَمِینَ﴾ (และสิทธิของอัลลอฮ์ที่มีแก่มนุษย์นั้น คือการมุ่งสู่บ้านหลังนั้น อันได้แก่ผู้ที่สามารถหาทางไปยังบ้านหลังนั้นได้ และผู้ใดปฏิเสธ แท้จริงอัลลอฮ์นั้นไม่ทรงพึ่งประชาชาติทั้งหลาย)(สูเราะฮ์ อาลิอิมรอน : 97)

และส่วนหนึ่งจากฮิกมะฮ์ของการประกอบพิธีหัจญ์คือ ในการประกอบพิธีหัจญ์นั้น เพื่อบรรลุในการศรัทธาต่อความเป็นเอกะของอัลลอฮ์และบรรลุถึงการยำเกรงต่อพระองค์ ดำรงไว้ซึ่งการรำลึกถึงพระองค์ และการขัดเกลาจิตใจ และการฝึกฝนประชาชาติให้อยู่บนจิตวิญญาณแห่งเอกภาพที่ถูกต้อง และอื่น ๆ ที่เป็นฮิกมะฮ์ คุณค่า และประโยชน์ต่างๆ
นี่เป็นเพียงข้อมูลแบบกระชับเท่านั้น ซึ่งแต่ละประการนั้น มีเงื่อนไข มีหลักปฏิบัติ และรายละเอียดอีกมากมายขออัลลอฮ์ทรงโปรดประทานพรและประทานความสันติแด่ท่านนบีมุฮัมมัดของพวกเรา และแด่วงศ์วานของท่าน และอัครสาวกของท่านทั้งหมด

เลขหมวด : 400
คำถามหมายเลข : 49

รูปแบบการอาบน้ำละหมาดมีอะไรบ้าง ?

คำตอบ
ความสำคัญที่ (1)
คำถาม : รูปแบบการอาบน้ำละหมาดมีอะไรบ้าง ?
คำตอบ : รูปแบบการอาบน้ำละหมาดอย่างสมบูรณ์ ซึ่งมีรายละเอียดดังต่อไปนี้
1-เริ่มด้วยการตั้งเจตนาเพื่อทำความสะอาดและสลายสิ่งที่เป็นหะดัษ และไม่มีการเปล่งเสียงออกมาขณะตั้งเจตนา เพราะสถานที่ของมันคือ หัวใจ และอิบาดะฮ์ประเภทอื่นๆ ก็เช่นเดียวกัน
2- ให้กล่าว : บิสมิลลาฮ์
3-จากนั้นให้ล้างข้อมือทั้งสองของเขา 3 ครั้ง
4-จากนั้นให้บ้วนปาก 3 ครั้ง (ซึ่งการบ้วนปากคือ การกลั้วน้ำในช่องปาก)และสูดน้ำเข้าจมูกและสั่งออกมาจากจมูกด้วยมือซ้ายอัล-อิสตินชากคือ การทำให้น้ำเข้าไปภายในจมูก และอัล-อิสตินษารคือ การทำให้น้ำออกมาจากจมูก
5-ล้างหน้า 3 ครั้ง ซึ่งขอบเขตด้านยาวของใบหน้าเริ่มจากตีนผมบนหน้าผากจนถึงใต้คาง และขอบเขตด้านกว้างอยู่ระหว่างติ่งหูข้างขวาไปจนถึงติ่งหูข้างซ้ายสำหรับผู้ชายนั้น ให้ล้างเคราของเขาด้วย เพราะมันเป็นส่วนหนึ่งของใบหน้า และถ้าหากว่าเคราบาง วาญิบต้องล้างทั้งด้านนอกและด้านใน แต่ถ้าเคราหนาจนปกปิดผิวหนัง ก็ให้ล้างแค่ภายนอกเท่านั้น แล้วก็สางมัน
6-จากนั้นให้ล้างมือทั้งสองข้างจนถึงข้อศอก 3 ครั้ง ซึ่งขอบเขตของมือนั้นเริ่มจากปลายนิ้วพร้อมทั้งเล็บมือไปจนถึงต้นแขน และจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องขจัดสิ่งที่ติดอยู่ที่มือออกก่อนที่จะล้าง เช่น แป้ง โคลน สีย้อม และสิ่งที่ขัดขวางมิให้น้ำเข้าถึงผิวหนัง
7-จากนั้นให้เช็ดศรีษะและหูทั้งสองข้าง 1 ครั้ง ด้วยน้ำใหม่และการเช็ดศรีษะ มีวิธีการดังนี้ : วางมือที่เปียกน้ำทั้งสองข้างลงบนส่วนหน้าของศีรษะ(ตีนผมบนหน้าผาก) หลังจากนั้นลูบไปจนถึงท้ายทอย เเละลูบกลับมายังตำแหน่งส่วนหน้าของศีรษะ หลังจากนั้นใส่นิ้วชี้เข้าไปเช็ดในรูหู เเละใช้นิ้วโป้งเช็ดบริเวณภายนอกของหูสำหรับผมของผู้หญิง ก็ให้นางเช็ดที่ผมได้เลย ไม่ว่าจะปล่อยผมหรือรวบผมจากส่วนหน้าของศีรษะ(โคนผมบนหน้าผาก)จนถึงโคนผมที่ต้นคอ และไม่บังคับให้ต้องเช็ดผมที่ยาวไปจนถึงด้านหลังของนาง
8-จากนั้นให้ล้างเท้าทั้งสองข้างจนถึงตาตุ่ม 3 ครั้ง และตาตุ่ม คือกระดูกที่ยื่นออกมาสองข้างที่ด้านล่างของหน้าแข้ง
-และสำหรับผู้ใดที่ไม่พบน้ำ(สำหรับอาบน้ำละหมาด)ก็ให้เขาทำการตะยัมมุม นั่นก็คือ การใช้ฝุ่นดินหรือสิ่งอื่นที่อยู่ตามพื้นดิน ขณะที่ไม่พบน้ำหรือใช้น้ำไม่ได้
อัลลอฮ์ ตะอาลา ทรงตรัสว่า :﴿فَلَمۡ تَجِدُواْ مَآءً فَتَيَمَّمُواْ صَعِيدًا طَيِّبًا فَٱمۡسَحُواْ بِوُجُوهِكُمۡ وَأَيۡدِيكُمۡۗ إِنَّ ٱللَّهَ كَانَ عَفُوًّا غَفُورًا﴾ (แล้วพวกเจ้าไม่พบน้ำ ก็จงมุ่งสู่ดินที่ดี แล้วจงลูบใบหน้าของพวกเจ้าและมือของพวกเจ้า แท้จริงอัลลอฮ์เป็นผู้ทรงอภัย ผู้ทรงยกโทษเสมอ)(ซูเราะฮ์ อัน-นิซาอ์ : 43)
วิธีการตะยัมมุม คือ การใช้ฝ่ามือทั้งสองข้างตบบนดินฝุ่น 1 ครั้ง จากนั้นให้ลูบหน้าและหลังมือทั้งสองข้าง 1 ครั้ง ดังที่ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได้กล่าวแก่อัมม๊าร บิน ยาซิร เราะฎิยัลลอฮุอันฮู ว่า:"ความจริงแล้วท่านเพียงแค่ทำอย่างนี้ก็เป็นการพอแล้ว (หลังจากนั้นท่านนบี   ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได้สาธิตวิธีการตะยัมมุม ให้ดู) และท่านนบี ได้ใช้ฝ่ามือทั้งสองตบลงบนพื้นดิน แล้วก็เป่าฝุ่นที่ฝ่ามือทั้งสองแล้วจึงใช้มือทั้งสองลูบใบหน้าและมือทั้งสองข้าง"(บันทึกโดยอิหม่ามบุคอรีย์และมุสลิม)
และหลักฐานของเรื่องดังกล่าวนั้น ได้มาจากหะดีษของท่านหุมรอนคนรับใช้ของท่านอุษมานที่ระบุว่า แท้จริงท่านอุษมาน อิบนุ อัฟฟาน เราะฎิยัลลอฮุอันฮูได้เรียกใช้ให้เอาภาชนะใส่น้ำเพื่ออาบน้ำละหมาดไปให้ แล้วเขาก็อาบน้ำละหมาดโดยเริ่มล้างมือของเขาสามครั้ง ต่อมาก็บ้วนปากและสูดน้ำเข้าโพรงจมูกแล้วสั่งออก หลังจากนั้นก็ล้างหน้าของเขาสามครั้ง ล้างมือข้างขวาจนถึงข้อศอกสามครั้ง และล้างมือข้างซ้ายจนถึงข้อศอกสามครั้งเช่นเดียวกัน ต่อจากนั้นเขาก็เช็ดศีรษะ แล้วล้างเท้าข้างขวาจนถึงตาตุ่มสามครั้ง และล้างเท้าข้างซ้ายจนถึงตาตุ่มสามครั้งเช่นเดียวกัน เสร็จแล้วก็กล่าวว่า ฉันเคยเห็นท่านเราะซูลุลลอฮ์ ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม อาบน้ำละหมาดเหมือนกับการอาบน้ำละหมาดของฉันที่ทำให้ดูนี้ (ท่านอุษมาน กล่าวว่า) เมื่อท่านเราะซูลุลลอฮ์ ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม อาบน้ำละหมาดเสร็จท่านก็กล่าวว่า ผู้ใดอาบน้ำละหมาดเช่นเดียวกับการอาบน้ำละหมาดของฉันนี้ หลังจากนั้นเขาก็ละหมาดสองร๊อกอะห์ โดยที่ไม่มีการนึกถึงสิ่งใด ๆ ในสองร็อกอะฮ์นั้น  เขาจะได้รับการอภัยโทษจากความผิดที่ผ่านมา”(บันทึกโดย มุสลิม)
และอัลลอฮ์ ตะอาลา ทรงตรัสว่า:﴿یَـٰۤأَیُّهَا ٱلَّذِینَ ءَامَنُوۤا۟ إِذَا قُمۡتُمۡ إِلَى ٱلصَّلَوٰةِ فَٱغۡسِلُوا۟ وُجُوهَكُمۡ وَأَیۡدِیَكُمۡ إِلَى ٱلۡمَرَافِقِ وَٱمۡسَحُوا۟ بِرُءُوسِكُمۡ وَأَرۡجُلَكُمۡ إِلَى ٱلۡكَعۡبَیۡنِۚ وَإِن كُنتُمۡ جُنُبࣰا فَٱطَّهَّرُوا۟ۚ وَإِن كُنتُم مَّرۡضَىٰۤ أَوۡ عَلَىٰ سَفَرٍ أَوۡ جَاۤءَ أَحَدࣱ مِّنكُم مِّنَ ٱلۡغَاۤىِٕطِ أَوۡ لَـٰمَسۡتُمُ ٱلنِّسَاۤءَ فَلَمۡ تَجِدُوا۟ مَاۤءࣰ فَتَیَمَّمُوا۟ صَعِیدࣰا طَیِّبࣰا فَٱمۡسَحُوا۟ بِوُجُوهِكُمۡ وَأَیۡدِیكُم مِّنۡهُۚ مَا یُرِیدُ ٱللَّهُ لِیَجۡعَلَ عَلَیۡكُم مِّنۡ حَرَجࣲ وَلَـٰكِن یُرِیدُ لِیُطَهِّرَكُمۡ وَلِیُتِمَّ نِعۡمَتَهُۥ عَلَیۡكُمۡ لَعَلَّكُمۡ تَشۡكُرُونَ﴾ (ผู้ศรัทธาทั้งหลาย! เมื่อพวกเจ้ายืนขึ้นจะไปละหมาด ก็จงล้างหน้าของพวกเจ้า และมือของพวกเจ้าถึงข้อศอก และจงลูบศีรษะของพวกเจ้า และล้างเท้าของพวกเจ้าถึงตาตุ่มทั้งสอง และหากพวกเจ้ามีญะนาบะฮ์ ก็จงชำระร่างกายให้สะอาด และหากพวกเจ้าป่วย หรืออยู่ในการเดินทาง หรือคนใดในหมู่พวกท่านมาจากการถ่ายทุกข์ หรือได้สัมผัสหญิงมา แล้วพวกเจ้าไม่พบน้ำก็จงมุ่งสู่ดินที่ดี แล้วลูบใบหน้าของพวกเจ้า และมือของพวกเจ้า จากดินนั้น อัลลอฮ์นั้นไม่ทรงประสงค์เพื่อจะให้มีความลำบากใดๆ แก่พวกเจ้า แต่ทว่าทรงประสงค์ที่จะให้พวกเจ้าสะอาด และเพื่อให้ความกรุณาเมตตาของพระองค์ครบถ้วนแก่พวกเจ้า เพื่อว่าพวกเจ้าจักขอบคุณ)(ซูเราะฮ์ อัล-มาอิดะฮ์ : 6)ขออัลลอฮ์ทรงโปรดประทานพรและประทานความสันติแด่ท่านนบีมุฮัมมัดของพวกเรา และแด่วงศ์วานของท่าน และอัครสาวกของท่านทั้งหมด
เลขหมวด : 3060
คำถามหมายเลข : 50

รูปแบบการละหมาดมีอะไรบ้าง ?

คำตอบ :
ความสำคัญที่ (1)
คำถาม : รูปแบบการละหมาดอะไรบ้าง ?
คำตอบ : รูปแบบการละหมาดมีดังนี้ :
1- ให้ทุกส่วนของร่างกายหันไปทางกิบละฮ์ โดยไม่ผินหรือหันเหไปทางอื่น
2- จากนั้นให้ตั้งเจตนาละหมาดที่เขาต้องการด้วยหัวใจของเขาโดยไม่ต้องเปล่งออกมาเป็นวาจา
3- จากนั้นให้ตักบีร่อตุ้ลอิห์รอม (ตักบีรเริ่มเข้าสู่การละหมาด) โดยกล่าวว่า "อัลลอฮุอักบัร" พร้อมยกมือทั้งสองข้างเสมอหัวไหล่ขณะตักบีร
4- หลังจากนั้นให้เอามือขวาวางลงบนหลังมือซ้าย โดยเอามือทั้งสองทาบบนหน้าอก
5- จากนั้นให้อ่านดุอาอ์อิสติฟตาห์ โดยกล่าวว่า :ความว่า โอ้ อัลลอฮ์ โปรดทำให้ฉันได้ห่างจากบาปของฉัน ดังที่พระองค์ทำให้ทิศตะวันออกและทิศตะวันตกห่างกัน โอ้ อัลลอฮ์ โปรดทำให้ฉันบริสุทธิ์สะอาดจากความผิดต่างๆ ของฉันให้บริสุทธิ์สะอาดเหมือนผ้าขาวที่ถูกทำให้สะอาดจากสิ่งสกปรก โอ้ อัลลอฮ์ โปรดชำระล้างฉันจากความผิดทั้งหลายของฉันด้วยน้ำ หิมะ และลูกเห็บ
หรือ กล่าวว่า :คำอ่าน "สุบหานะกัลลอฮุมมะ วะบิฮัมดิกะ วะตะบาเราะกัสมุกะ วะตะอาลาจัดดุกะ วะลาอิลาฮะฆ็อยรุกะ"
6-จากนั้นให้ขอความคุ้มครอง โดยกล่าวว่า :“อาอูซุ บิลลาฮิ มินัช ชัยฏอนิร รอญีมความว่า "ฉันขอความคุ้มครองต่ออัลลอฮ์ ให้พ้นจากชัยฏอนที่ถูกสาปแช่ง"
7-จากนั้นให้กล่าวบิสมิลลาฮ์และอ่านซูเราะฮ์ฟาติหะฮ์﴿بِسْمِ اللهِ الرَّحْمنِ الرَّحِيمِ ความว่า "ด้วยพระนามของอัลลอฮ์ ผู้ทรงกรุณาปราณี ผู้ทรงเมตตาเสมอالْحَمْدُ للّهِ رَبِّ الْعَالَمِينَ มวลการสรรเสริญเป็นสิทธิของอัลลอฮ์ พระผู้อภิบาลแห่งสากลโลกالرَّحْمـنِ الرَّحِيمِ ผู้ทรงกรุณาปรานี ผู้ทรงเมตตาเสมอمَالِكِ يَوْمِ الدِّينِ ผู้ทรงอภิสิทธิ์แห่งวันตอบแทนإِيَّاكَ نَعْبُدُ وإِيَّاكَ نَسْتَعِينُ เฉพาะพระองค์เท่านั้น ที่พวกข้าพระองค์เคารพอิบาดะฮ์ และเฉพาะพระองค์เท่านั้นที่พวกข้าพระองค์ขอความช่วยเหลือاهدِنَــــا الصِّرَاطَ المُستَقِيمَ ขอพระองค์ทรงแนะนำพวกข้าพระองค์ ซึ่งทางอันเที่ยงตรงصِرَاطَ الَّذِينَ أَنعَمتَ عَلَيهِمْ غَيرِ المَغضُوبِ عَلَيهِمْ وَلاَ الضَّالِّينَ﴾ (คือ) ทางของบรรดาผู้ที่พระองค์ได้ทรงโปรดปรานพวกเขา มิใช่ทางของพวกที่ถูกกริ้ว และมิใช่ทางของพวกที่หลงผิด"(ซูเราะฮ์ อัล-ฟาติหะฮ์ : 1-7)

จากนั้นให้กล่าวว่า "อามีน" ความหมายคือ โอ้อัลลอฮ์ขอพระองค์โปรดตอบรับด้วยเถิด
8-จากนั้นให้อ่านที่สะดวกจากอัลกุรอาน และให้อ่านยาวในละหมาดซุบฮิ
9-จากนั้นให้ทำการรูกั๊วะ คือ การโค้งหลังเพื่อเทิดทูนอัลลอฮ์ และกล่าวตักบีรขณะรุกั๊วะ พร้อมกับยกมือทั้งสองข้างเสมอหัวไหล่ และสุนนะฮ์ให้ยืดแผ่นหลังให้ตรงเสมอศรีษะ และวางมือทั้งสองตั้งบนหัวเข่าทั้งสองข้าง โดยกางแต่ละนิ้วออก
10-ขณะรุกั๊วะให้กล่าวว่า : "สุบหานะ ร็อบบิยัลอะซีม" 3 ครั้ง แต่ถ้าเพิ่มคำว่า "สุบหานะกัลลอฮุมมะ วะบิฮัมดิกะ อัลลอฮุมมัฆฟิรลี" ก็จะเป็นการดี
11-จากนั้นเงยศรีษะขึ้นจากรุกั๊วะ พร้อมกล่าวว่า "สะมิอัลลอฮุ ลิมันหะมิดะฮ์" แล้วยกมือทั้งสองจนถึงระดับบ่า ซึ่งผู้ที่ตาม (มะมูม) ไม่ต้องกล่าว "สะมิอัลลอฮุ ลิมันหะมิดะฮ์" แต่ให้กล่าวว่า "ร็อบบะนา วะละกัล หัมด์" แทน
16-หลังจากเงยศรีษะขึ้นจากรุกั๊วะมายืนตรงเรียบร้อยแล้ว ให้กล่าวว่า "ร็อบบะนา วะละกัล หัมด์ , มิลอุส สะมาวาติ วัลอัรฎ์ , วะ มิลอุ มา ชิอ์ตะ มินชัยอิน บะอ์ดุ" ความว่า "โอ้ พระผู้อภิบาลแห่งเรา และสำหรับพระองค์นั้นคือการสรรเสริญทั้งหลาย การสรรเสริญที่เต็มฟากฟ้าและแผ่นดิน รวมทั้งทุกสิ่งที่พระองค์ทรงประสงค์นอกจากนั้น"
13- จากนั้นให้สุญูดครั้งแรก โดยกล่าวขณะสุญูดว่า "อัลลอฮุ อักบัร" แล้วสุญูดด้วยอวัยวะทั้งเจ็ด คือ หน้าผาก จมูก สองมือ สองเข่า สองปลายเท้า โดยให้แขนทั้งสองข้างห่างจากลำตัวและอย่าตั้งข้อศอกบนพื้น และปลายนิ้วเท้าชี้ไปทางกิบละฮ์
10-ขณะสุญูดให้กล่าวว่า : " สุบหานะ ร็อบบิยัล อะอ์ลา" 3 ครั้ง แต่ถ้าเพิ่มคำว่า "สุบหานะกัลลอฮุมมะ ร๊อบบะนา วะบิฮัมดิกะ อัลลอฮุมมัฆฟิรลี" ก็จะเป็นการดี
15-จากนั้นเงยศรีษะขึ้นจากสุญูด พร้อมกล่าวว่า «อัลลอฮุ อักบัร»
16-จากนั้นนั่งระหว่างสอง สุญูด โดยการนั่งบนเท้าซ้าย ปลายเท้าขวายันพื้น และวางฝ่ามือทั้งสองข้างทาบลงบนหน้าขาอ่อนและหัวเข่าของเขา
17-และให้กล่าวขณะนั่งระหว่างสองสุญูดว่า " ร็อบบิฆฟิรลี วัรหัมนี, วะฮ์ดินี ,วัรซุกนี , วัจญ์บุรนี , วะอาฟินี  ความว่า:“โอ้ ผู้อภิบาลแห่งข้าพระองค์ ได้โปรดประทานอภัยแก่ข้าพระองค์ เมตตาข้าพระองค์ ชี้นำข้าพระองค์  ประทานปัจจัยยังชีพแก่ข้าพระองค์ ดูแลแก้ไขข้าพระองค์และให้ความปลอดภัยแก่ข้าพระองค์
18- จากนั้นให้สุญูดครั้งที่ 2 เหมือนกับครั้งแรก ทั้งคำกล่าวและการปฏิบัติ,และให้กล่าวว่า "อัลลอฮุ อักบัร" ขณะสุญูด
19-จากนั้นให้ลุกขึ้นจากสุญูดครั้งที่ 2 มายื่นตรงพร้อมกล่าวว่า "อัลลอฮุ อักบัร" แล้วทำการละหมาดในร็อกอะฮ์ที่ 2 เหมือนกับร็อกอะฮ์แรก ทั้งคำกล่าวและการปฏิบัติ แต่ไม่ต้องอ่านดุอาอ์อิสติฟตาห์
20-หลังจากเสร็จสิ้นจากร็อกอะฮ์ที่ 2 แล้วก็ให้กล่าว "อัลลอฮุ อักบัร"พร้อมกับนั่งเสมือนกับการนั่งระหว่างสองสุญูด
21-และให้อ่านตะชะฮ์ฮุดขณะนั่งว่า :ความว่า: “มวลการสดุดีทั้งหลายมอบแด่อัลลอฮ์ รวมทั้งการสรรเสริญด้วยพรและความดีงามต่างๆ ขอความสันติสุขจงประสบแด่ท่านโอ้ผู้เป็นนบี รวมทั้งความเมตตาแห่งอัลลอฮ์และความประเสริฐทั้งหลายของพระองค์ ขอความสันติสุขจงประสบแด่เราและแด่บรรดาบ่าวผู้ทรงคุณธรรมทั้งหลาย ข้าขอปฏิญาณว่าไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากอัลลอฮ์ และข้าขอปฏิญาณว่ามุฮัมมัดนั้นเป็นบ่าวและศาสนทูตของพระองค์  โอ้ พระผู้อภิบาลแห่งเรา ขอทรงประทานความจำเริญแด่มุฮัมมัดและครอบครัวของมุฮัมมัด เช่นที่พระองค์ประทานความจำเริญแด่อิบรอฮีมและครอบครัวของอิบรอฮีม แท้จริงพระองค์นั้นทรงยิ่งด้วยการสรรเสริญและบารมีอันสูงส่ง โอ้ พระผู้อภิบาลแห่งเรา ขอทรงประทานความประเสริฐแด่มุฮัมมัดและครอบครัวของมุฮัมมัด เช่นที่พระองค์ประทานความประเสริฐแด่อิบรอฮีมและครอบครัวของอิบรอฮีม แท้จริงพระองค์นั้นทรงยิ่งด้วยการสรรเสริญและบารมีอันสูงส่ง ขอแด่อัลลอฮ์ ให้เราห่างไกลจากการถูกลงโทษในนรกญะฮันนัม จากการลงโทษในหลุมฝังศพ จากความวุ่นวายของการมีชีวิตและการเสียชีวิต และจากความวุ่นวายของมะซีห์ ดัจญาลจากนั้นให้ขอดุอาอ์ต่ออัลลอฮ์ให้ได้รับความดีทั้งในโลกนี้และโลกหน้าตามที่เขาชอบและต้องการ
22-จากนั้นให้สลามโดยหันไปทางขวา พร้อมกล่าวว่า "อัสสลามุอะลัยกุม วะเราะห์มะตุลลอฮ์" และหันไปทางซ้าย ก็กล่าวเช่นเดียวกัน
และถ้าหากว่าเป็นการละหมาดที่มี 3 หรือ 4 ร็อกอะฮ์ ให้อ่านดุอาอ์ตะชะฮฺฮุดครั้งแรก หยุดที่คำว่า :"อัชฮะดุ อัลฺลาอิลาฮะ อิลลัลลอฮ์, วะอัชฮะดุ อันนะมุหัมมะดัน อับดุฮู วะรอซูลุฮ์"
24-จากนั้นให้ลุกขึ้นยืนและกล่าวว่า "อัลลอฮุ อักบัร" พร้อมทั้งยกมือทั้งสองข้างเสมอหัวไหล่
25-จากนั้นให้ทำการละหมาดส่วนที่เหลือเหมือนกับวิธีการละหมาดในร็อกอะฮ์ที่สองเพียงแต่ว่าให้หยุดที่การอ่านซูเราะฮ์ฟาติหะฮ์
26-จากนั้นให้นั่งแบบ ตะวัรรุก โดยการตั้งเท้าขวายันพื้น แล้วเอาเท้าซ้ายสอดออกมาใต้เท้าขวา และวางก้นบนพื้น และวางมือทั้งสองข้างบนหน้าขาอ่อนเหมือนการนั่งตะชะฮ์ฮุดครั้งแรก
27-และการนั่งตะชะฮ์ฮุดครั้งนี้ ให้อ่านดุอาอ์ตะชะฮฺ์ฮุดทั้งหมด
28-จากนั้นให้สลามหันไปทางขวาโดยกล่าวว่า "อัสสลามุอะลัยกุม วะเราะอ์มะตุลลอฮ์" และหันไปทางซ้ายก็ให้กล่าวเช่นเดียวกัน และขออัลลอฮ์ทรงโปรดประทานพรและประทานความสันติแด่ท่านนบีมุฮัมมัดของเราด้วยเถิด
เลขหมวดที่ : 3070
คำถามหมายเลข: 65

ชาวมุสลิมเคารพบูชากะอ์บะฮ์ใช่หรือไม่?

คำตอบ:
ความสำคัญที่ /1
คำถาม : กะอ์บะฮ์คืออะไร ? ชาวมุสลิมเคารพบูชากะอ์บะฮ์หรือไม่ ?
คำตอบ : วิหารกะอ์บะฮ์อันทรงเกียรติ คือ กิบละฮ์ของชาวมุสลิมในการละหมาดของพวกเขา อัลลอฮ์ ตะอาลา ทรงตรัสว่า :﴿فَلَنُوَلِّیَنَّكَ قِبۡلَةࣰ تَرۡضَىٰهَاۚ فَوَلِّ وَجۡهَكَ شَطۡرَ ٱلۡمَسۡجِدِ ٱلۡحَرَامِۚ وَحَیۡثُ مَا كُنتُمۡ فَوَلُّوا۟ وُجُوهَكُمۡ شَطۡرَهُۥۗ﴾ (แน่นอนเราให้เจ้าผินไปยังทิศ ที่เจ้าพึงพอใจ ดังนั้นเจ้าจงผินใบหน้าของเจ้าไปทางมัสยิดหะรอมเถิด และที่ใดก็ตามที่พวกเจ้าปรากฏอยู่ ก็จงผินใบหน้าของพวกเจ้าไปทางทิศนั้น )(ซูเราะฮ์ อัลบะเกาะเราะฮ์ : 144 )และรอบๆ กะอ์บะฮ์จะมีผู้คนทำการฏอวาฟ ขณะประกอบพิธีหัจญ์และอุมเราะฮ์ อัลลอฮ์ ตะอาลา ทรงตรัสว่า :﴿وَلۡیَطَّوَّفُوا۟ بِٱلۡبَیۡتِ ٱلۡعَتِیقِ﴾ (และจงให้พวกเขาฎอวาฟ (เดินเวียน) รอบบ้านอันเก่าแก่)(ซูเราะฮ์ อัล-หัจญ์ : 29)
มันคือสิ่งปลูกสร้างอันทรงเกียรติในมหานครมักกะฮ์ ที่อัลลอฮ์ทรงบัญชาให้นบีอิบรอฮีม อะลัยฮิสสลาม สร้างขึ้น อัลลอฮ์ ตะอาลา ทรงตรัสว่า :﴿وَإِذۡ بَوَّأۡنَا لِإِبۡرَٰهِیمَ مَكَانَ ٱلۡبَیۡتِ أَن لَّا تُشۡرِكۡ بِی شَیۡـࣰٔا وَطَهِّرۡ بَیۡتِیَ لِلطَّاۤىِٕفِینَ وَٱلۡقَاۤىِٕمِینَ وَٱلرُّكَّعِ ٱلسُّجُودِ﴾ ( และจงรำลึกเมื่อเราได้ชี้แนะสถานอัลบัยต์ แก่อิบรอฮีมว่า เจ้าอย่าตั้งภาคีต่อข้าแต่อย่างใด และจงทำบ้านของข้าให้สะอาด สำหรับผู้มาเวียนรอบ ผู้ยืนละหมาด ผู้รุกั๊วะ และผู้สุญูด)(ซูเราะฮ์ อัล-หัจญ์ : 26)
และมันเป็นบ้านหลังแรกที่ถูกสร้างบนหน้าแผ่นดินเพื่อการอิบาดะฮ์ต่ออัลลอฮ์ อัลลอฮ์ ซุบฮาะฮูวะตะอาลา ทรงตรัสว่า :﴿إِنَّ أَوَّلَ بَیۡتࣲ وُضِعَ لِلنَّاسِ لَلَّذِی بِبَكَّةَ مُبَارَكࣰا وَهُدࣰى لِّلۡعَـٰلَمِینَ﴾ (แท้จริงบ้านหลังแรกที่ถูกตั้งขึ้นสำหรับมนุษย์(เพื่อการอิบาดะฮ์) นั้นคือบ้านที่มักกะฮ์ โดยเป็นที่ที่ถูกให้มีความจำเริญ และเป็นที่แนะนำแก่ประชาชาติทั้งหลาย)(ซูเราะฮ์ อาลิอิมรอน : 96)
ส่วนคำตอบของคำถามที่ 2 คือ ชาวมุสลิมไม่ได้ทำการเคารพอิบาดะฮ์ต่อกะอ์บะฮ์และหินดำ ฉะนั้นพวกเขาไม่ได้ยอมจำนนและไม่ได้ด้อยค่ามัน หากแต่เพียงให้เกียรติและเคารพมันเท่านั้นและพวกเขาไม่ได้รับคำสั่งใช้และข้อห้ามใดๆ จากกะอ์บะฮ์และหินดำ เพราะทั้งสองไม่สามารถทำอันตรายและให้คุณประโยชน์ใดๆ ได้ และจะไม่มีข้อชี้แนะหรือทางนำใดที่ออกมาจากทั้งสอง แต่แท้จริงแล้วการจูบ การให้เกียรติและการหันหน้าไปทางกะอ์บะฮ์นั้นแสดงถึงความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันและการมีเป้าหมายเดียวกันของพวกเขา และการที่พวกเขาไปเยี่ยมเยียนกะอ์บะฮ์และฏอวาฟรอบๆ กะอ์บะฮ์นั้น เป็นการตอบสนองคำบัญชาที่พระองค์ทรงสั่งใช้พวกเขา และอิบาดะฮ์ต่ออัลลอฮ์เพียงพระองค์เดียวเท่านั้น ไม่ใช่การอิบาดะฮ์ต่อกะอ์บะฮ์และบรรดามุสลิมทุกคนรู้ดีว่ามันคือหิน ที่ไม่ให้โทษและประโยชน์ใดๆ เพียงแต่เขาแค่ปฏิบัติตามคำสั่งของอัลลอฮ์ เพราะมันเป็นองค์ประกอบของการอิบาดะฮ์ต่อพระองค์ ผู้เป็นพระเจ้าแห่งสากลโลก
ส่วนหนึ่งจากเรื่องดังกล่าวคือ คำพูดของท่านอุมัร เราะฎิยัลลอฮุอันฮู ในขณะที่ท่านจูบหินดำ ท่านได้กล่าวว่า :"ฉันรู้ว่าเจ้าเป็นแค่ก้อนหินที่ไม่สามารถให้โทษและคุณประโยชน์ใดๆ ได้ ถ้าหากว่าฉันไม่เห็นว่าท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม จูบเจ้า ฉันก็จะไม่จูบเจ้าเด็ดขาด(บันทึกโดย อัลบุคอรีย์และมุสลิม)ขออัลลอฮ์ทรงโปรดประทานพรและประทานความสันติแด่ท่านนบีมุฮัมมัดของพวกเรา และแด่วงศ์วานของท่าน และอัครสาวกของท่านทั้งหมด
เลขหมวดที่ : 1110