ความสำคัญ (1)
คำตอบที่ 1- คำว่าอัลลอฮ์ในศาสนาอิสลามนั้น
คือพระเจ้าแห่งสากลโลก และเป็นเจ้าของสำหรับทุกสิ่ง
คอยดูแลพวกเขาด้วยความโปรดปรานของพระองค์. พระองค์ทรงตรัสว่า:﴿ٱلۡحَمۡدُ لِلَّهِ رَبِّ ٱلۡعَـٰلَمِینَ﴾ (มวลการสรรเสริญเป็นเอกสิทธิ์ของอัลลอฮ์
พระผู้อภิบาลแห่งสากลโลก)[ซูเราะฮ์ อัลฟาติหะฮ์ : 2]
พระองค์คือผู้ทรงสร้าง ผู้ทรงเป็นเจ้าของ ผู้ทรงประทานปัจจัยยังชีพ
ผู้ทรงควบคุมจัดการทุกสิ่งเพียงผู้เดียว ไม่มีภาคีใดๆ สำหรับพระองค์
พระองค์ทรงตรัสว่า:﴿رَّبُّ ٱلسَّمَـوَ اتِ وَٱلۡأَرۡضِ وَمَا بَيۡنَهُمَا فَٱعۡبُدۡهُ وَٱصۡطَبِرۡ لِعِبَـدَتِهِۦۚ هَلۡ تَعۡلَمُ لَهُۥ سَمِيًّا﴾ (พระเจ้าผู้ทรงปกครองชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดินและสิ่งที่อยู่ระหว่างทั้งสอง
ดังนั้น จงเคารพสักการะพระองค์และจงมั่นคงในการเคารพภักดีต่อพระองค์
เจ้ารู้หรือว่า ใครที่สมควรได้รับการเคารพสักการะเช่นเดียวกับพระองค์?)[ซูเราะฮ์ มัรยัม : 65]
พระองค์คือพระเจ้าผู้ทรงคู่ควรแก่การเคารพสักการะและไม่มีพระเจ้าอื่นใดที่ควรแก่การเคารพสักการะอย่างแท้จริงนอกจากพระองค์เท่านั้น
เพราะพระองค์มีคุณลักษณะที่เป็นคุณลักษณะแห่งความเป็นพระเจ้าและคุณลักษณะที่สมบูรณ์
ซึ่งทุกสิ่งที่ถูกสร้าง คำบัญชา การตัดสิน และการบัญญัติกฎต่างๆ
นัันเป็นกรรมสิทธิ์ของพระองค์เพียงผู้เดียว ไม่มีสิ่งใดเป็นภาคีสำหรับพระองค์
อัลลอฮ์ ตะอาลา ทรงตรัสว่า:﴿وَلَهُ ٱلۡمَثَلُ ٱلۡأَعۡلَىٰ فِی ٱلسَّمَـٰوَ اتِ وَٱلۡأَرۡضِۚ﴾
(และคุณลักษณะอันสูงส่งในชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดินนั้นเป็นกรรมสิทธิ์ของพระองค์)[ซูเราะฮ์ อัรรูม : 27]
ผู้ทรงอำนาจ ผู้ทรงยิ่งใหญ่ที่สมบูรณ์
ผู้ซึ่งการสรรเสริญและความสมบูรณ์แบบทั้งมวลเป็นของพระองค์ พระนามที่งดงามที่สุดและคุณลักษณะอันสูงส่งที่สุดนั้นเป็นของพระองค์
พระองค์ทรงตรัสว่า:﴿وَلِلَّهِ ٱلۡأَسۡمَاۤءُ ٱلۡحُسۡنَىٰ فَٱدۡعُوهُ بِهَاۖ﴾ (และอัลลอฮ์ทรงมีพระนามที่สวยงาม ดังนั้น
จงวิงวอนต่อพระองค์ด้วยการกล่าวพระนามเหล่านั้น)[ซูเราะฮ์ อัลอะอ์รอฟ : 180]
พระองค์ผู้ทรงได้ยินที่สมบูรณ์ในการได้ยิน ผู้ทรงเห็นที่สมบูรณ์ในการมองเห็น
ผู้ทรงรอบรู้ที่สมบูรณ์ในความรอบรู้ของพระองค์ ผู้ทรงอำนาจ ทรงมีอำนาจเหนือทุกสิ่ง
และไม่มีสิ่งใดทำให้พระองค์อ่อนแอได้พระองค์ผู้ทรงกรุณาปรานี ผู้ทรงเมตตาเสมอ
ต่อสิ่งมีชีวิตทั้งปวง และทรงเมตตาต่อบรรดาผู้ศรัทธาทั้งหลายพระองค์ผู้ทรงมีชีวิตนิรันดร์
และไม่ตาย พระองค์ทรงแรกสุด ดังนั้นจึงไม่มีสิ่งใดมาก่อนพระองค์
และพระองค์ทรงท้ายสุด ดังนั้นจึงไม่มีสิ่งใดหลังจาก พระองค์ อัลลอฮ์ ตะอาลา
ทรงตรัสว่า:﴿هُوَ ٱلۡأَوَّلُ وَٱلۡـَٔاخِرُ وَٱلظَّـٰهِرُ وَٱلۡبَاطِنُۖ وَهُوَ بِكُلِّ شَیۡءٍ عَلِیمٌ﴾ (พระองค์คือผู้ทรงแรกสุด
ผู้ทรงท้ายสุด ผู้ทรงปรากฏ และผู้ทรงเร้นลับ
และพระองค์คือผู้ทรงรอบรู้เหนือทุกสิ่ง)[ซูเราะฮ์ อัลหะดีด :
3].
พระองค์ผู้ทรงปรีชาญาณ ผู้ทรงปัญญาในการสร้างสรรค์ เชี่ยวชาญ
และทำให้มันสมบูรณ์แบบ และพระองค์ทรงมีวิทยปัญญาในการสร้างสรรค์และการสั่งการ
พระองค์คือผู้ที่ไม่มีผู้ทัดเทียม ไม่มีภรรยา ไม่มีบุตร ไม่มีบิดา
และไม่มีสิ่งใดเสมอเหมือนพระองค์ อัลลอฮ์ ตะอาลา ทรงตรัสว่า:﴿قُلۡ هُوَ ٱللَّهُ أَحَدٌ
* ٱللَّهُ ٱلصَّمَدُ
*لَمۡ یَلِدۡ وَلَمۡ یُولَدۡ *وَلَمۡ یَكُن لَّهُۥ كُفُوًا أَحَدُۢ﴾
(จงล่าวเถิด
(มุฮัมมัด) พระองค์คือ อัลลอฮ์ผู้ทรงเอกกะ
อัลลอฮ์นั้นทรงเป็นที่พึ่ง พระองค์ไม่ประสูติ และไม่ทรงถูกประสูติ
และไม่มีผู้ใดเสมอเหมือนพระองค์)[ซูเราะฮ์ อัลอิคลาศ :
1-4]และอัลลอฮ์
ตะอาลา ทรงตรัสว่า:﴿لَیۡسَ كَمِثۡلِهِۦ شَیۡءۖ وَهُوَ ٱلسَّمِیعُ ٱلۡبَصِیرُ﴾ (ไม่มีสิ่งใดเสมอเหมือนพระองค์ และพระองค์ผู้ทรงได้ยิน
ผู้ทรงเห็น)[ซูเราะฮ์ อัชชูรอ : 11]
และพระองค์ทรงอยู่บนท้องฟ้า เหนือบัลลังก์ เหนือทุกสิ่งที่ถูกสร้าง อัลลอฮ์
ตะอาลา ทรงตรัสว่า :﴿الرَّحْمَنُ عَلَى الْعَرْشِ اسْتَوَى﴾
(ผู้ทรงกรุณาปรานี
ทรงสถิตอยู่เหนือบัลลังก์)[ซูเราะฮ์ ฏอฮา : 5].
และพระองค์ ทรงตรัสว่า:﴿وَهُوَ ٱلۡقَاهِرُ فَوۡقَ عِبَادِهِۦۚ وَهُوَ ٱلۡحَكِيمُ ٱلۡخَبِيرُ﴾
(และพระองค์คือผู้ทรงพิชิตเหนือปวงบ่าวของพระองค์
และพระองค์คือผู้ทรงปรีชาญาณ ผู้ทรงรอบรู้อย่างละเอียดถี่ถ้วน)[ซูเราะฮ์ อัลอันอาม : 18]
ความสำคัญ (1)
คำถามที่ 2- อะไรคือข้อพิสูจน์ที่แสดงถึงการมีอยู่จริงของอัลลอฮ์?
คำตอบที่ 2- การพิสูจน์ถึงการมีอยู่ของอัลลอฮ์
ตะอาลา นั้นคือ สติปัญญาที่โปร่งใส สัญชาตญาณที่บริสุทธิ์ และแนวทางที่เที่ยงตรง
และไม่มีใครปฏิเสธ ยกเว้นผู้ที่อยู่นอกสิ่งที่สติปัญญาของมนุษย์ได้กำหนดไว้เพราะสำหรับสิ่งมีชีวิตเหล่านี้มีผู้สร้างที่สร้างมันขึ้นมา
และจำเป็นต้องมี เพราะสิ่งมีชีวิตเหล่านี้จะเกิดขึ้นโดยปราศจากผู้สร้าง
ซึ่งมันเป็นสิ่งที่ค้านกับสติปัญญา เพราะมันเป็นไปไม่ได้
ที่สิ่งใดสิ่งหนึ่งจะมีตัวตนขึ้นได้โดยไม่มีผู้สร้าง!หรือว่าสิ่งมีชีวิตเหล่านี้เป็นผู้สร้างตัวของมันขึ้นมาเอง! แน่นอนมันเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้และไร้สาระ
เพราะสิ่งใดสิ่งหนึ่งไม่สามารถสร้างตัวของมันขึ้นมาจากความว่างเปล่าได้หรือว่าสิ่งมีชีวิตเหล่านี้มีผู้สร้างเป็นผู้ที่สร้างมันขึ้นมา
และผู้สร้างผู้นั้นคืออัลลอฮ์ พระเจ้าผู้ทรงยิ่งใหญ่ ผู้ทรงรอบรู้
ผู้ทรงสร้างและผู้ทรงปรีชาญาณและแท้จริงอัลลอฮ์ได้ชี้แจงถึงประเภทของการกำเนิดของสิ่งถูกสร้างเหล่านี้ด้วยถ้อยแถลงที่ดีที่สุดและรวบรัดที่สุด
ดังนั้นพระองค์ ทรงตรัสว่า:{أَمْ خُلِقُوا مِنْ غَيْرِ شَيْءٍ أَمْ هُمُ الْخَالِقُونَ (หรือว่าพวกเขาถูกบังเกิดมาโดยไม่มีผู้ให้บังเกิด
หรือว่าพวกเขาเป็นผู้ให้บังเกิดตนเอง)أَمْ خَلَقُوا السَّمَاوَاتِ وَالْأَرْضَ بَل لَّا يُوقِنُونَ}
(หรือว่าพวกเขาเป็นผู้สร้างชั้นฟ้าทั้งหลาย
และแผ่นดิน เปล่าเลย เพราะพวกเขาไม่เชื่อมั่นต่างหาก)[ซูเราะฮ์ อัฏฏูร : 35-36].
และเกี่ยวกับเรื่องนี้
บางคนในหมู่พวกเขาได้ถูกถามว่า:เจ้ารู้จักพระเจ้าของเจ้าด้วยอะไร? ดังนั้นเขาตอบว่า: แท้จริงมูลของอูฐบ่งบอกถึงตัวอูฐ
และการมีรอยเท้าบ่งบอกถึงมีการเดินทาง ดังนั้นท้องฟ้าที่มีดวงดาวมากมาย
แผ่นดินที่มีทางเดิน และทะเลที่มีคลื่น
สิ่งเหล่านี้ไม่บ่งบอกถึงพระองค์ผู้ทรงอ่อนโยน
ผู้ทรงรอบรู้อย่างละเอียดกระนั้นหรือ?!
และสำหรับสิ่งมีชีวิตเหล่านี้มีผู้บริหารที่คอยจัดการพวกมัน
และมันต้องเป็นอย่างนั้น เพราะถ้าท่านได้สังเกตดูโลกจากเบื้องบน และจากเบื้องล่าง
ท่านก็จะเห็นว่า มีการจัดเรียงที่สมบูรณ์แบบในนั้น
และทุกสิ่งถูกพบในรูปแบบที่เหมาะสม และสิ่งที่มีชีวิตเหล่านั้น
ได้รับคำชี้นำถึงสิ่งที่ดีสำหรับพวกเขาและรับประกันความอยู่รอดของพวกเขาและความสมบูรณ์แบบนี้
เกิดขึ้นซ้ำๆ กับทุกสิ่งที่ถูกสร้างมาทั้งหมดในรูปแบบที่ไม่สามารถคำนวณได้ และเป็นไปไม่ได้ที่มันจะเกิดขึ้นด้วยความบังเอิญ
และเกิดขึ้นอย่างไม่มีระบบ!และแท้จริงอัลลอฮ์ได้ชี้แจงถึงเรื่องดังกล่าว
โดยพระองค์ทรงตรัสว่า :{صُنْعَ اللَّهِ الَّذِي أَتْقَنَ كُلَّ شَيْءٍ} (นั่นคือการงานของอัลลอฮ์
ซึ่งพระองค์ทรงทำทุกสิ่งอย่างเรียบร้อย)[ซูเราะฮ์ อันนัมล์ :
88]
และพระองค์ ทรงตรัสว่า:{قَالَ رَبُّنَا الَّذِي أَعْطَى كُلَّ شَيْءٍ خَلْقَهُ ثُمَّ هَدَى}
(มูซากล่าวว่า
"พระเจ้าของเราคือ
ผู้ทรงประทานทุกอย่างแก่สิ่งที่พระองค์ทรงสร้าง แล้วพระองค์ก็ทรงชี้แนะแนวทางให้")[ซูเราะฮ์ ฏอฮา : 50]มีรายงานว่า กลุ่มผู้ไม่ศรัทธาต่อการมีของอัลลอฮ์ได้พบกับท่านอบูฮานิฟะฮ์
เราะหิมะฮุลลอฮ์ โดยพวกเขากล่าวว่า "อะไรคือหลักฐานของการมีอยู่ของผู้สร้าง"? ท่านจึงตอบแก่พวกเขาว่า "ขออนุญาต
ตอนนี้ความคิดของฉันไม่ว่างกำลังยุ่งกับสิ่งที่แปลกๆ" พวกเขากล่าวว่า "มันคืออะไร"? ท่านตอบว่า: "ฉันได้รับแจ้งว่าในแม่น้ำไทกริสมีเรือลำใหญ่ลำหนึ่งซึ่งเต็มไปด้วยสิ่งของที่แปลกๆมากมาย
และมันได้ไปมาโดยไม่มีใครขับเคลื่อนมัน และไม่มีกัปตันคอยเฝ้าดูมัน".
พวกเขากล่าวกับท่านว่า:
"เจ้าบ้าหรือเปล่า"? ท่านกล่าวว่า "แล้วมันอะไรกัน"? พวกเขากล่าวว่า "เหตุการณ์แบบนี้มีผู้ที่มีสติปัญญาเชื่อกระนั้นหรือ? และท่านก็กล่าวแก่พวกเขาว่า “แล้วสติปัญญาของพวกท่านเชื่อได้อย่างไรเล่าว่าโลกใบนี้ที่มีสิ่งต่างๆ
มากมาย และมีเหตุการณ์ที่แปลกๆ มากมายได้อุบัติขึ้นอันน่าพิศวง และดาวต่างๆ
ที่โคจร และเหตุการณ์ต่างๆ เกิดขึ้นโดยไม่มีผู้ให้กำเนิด และการเคลื่อนไหวเหล่านี้
เคลื่อนไปโดยไม่มีผู้ขับเคลื่อน ดังนั้นพวกท่านจงกลับมาตำหนิตัวของพวกท่านเองเถิด".
- หลักฐานที่บ่งชี้ถึงการมีอยู่ของอัลลอฮ์นั้น
มีมากมายเกินกว่าจะจำกัดได้ ส่วนหนึ่งคือ:สัญชาตญาณและสัญชาตญาณเป็นสิ่งที่บุคคลพบในตัวเองและไม่สามารถที่จะคัดค้านมันได้รวมถึงการมีอยู่ของทุกสิ่งที่ถูกสร้างคือหลักฐานที่บ่งชี้ถึงการมีผู้สร้าง
ที่มหาบริสุทธิ์และสูงส่งรวมถึงการดูแล ความละเอียดอ่อนในการสร้าง
การให้เกิดความสะดวก และอื่นๆ ที่ไม่สามารถระบุหรือนับได้
ทั้งหมดนั้นล้วนเป็นสิ่งที่บ่งชี้ถึงการมีของอัลลอฮ์ ตะอาลา
พระผู้สร้างที่ยิ่งใหญ่ ผู้ปกครองที่ชาญฉลาด.
ความสำคัญ (1)
คำถามที่ (3)- อะไรคือหลักฐานที่จำเป็น (วาญิบ) ต้องศรัทธาในความเป็นเอกะของอัลลอฮ์
ตะอาลา?
คำตอบที่ 3- หลักฐานที่บ่งบอกว่าจำเป็นต้องให้เอกภาพต่ออัลลอฮ์
ตะอาลา ในด้านการเป็นพระเจ้า (รุบูบียะฮ์) ของพระองค์ โดยศรัทธาว่า
พระองค์คือผู้ทรงสร้าง ผู้ทรงทรงครอบครอง ผู้ทรงบริหารจัดการ แต่เพียงผู้เดียว
โดยไม่มีสิ่งใดเป็นภาคีสำหรับพระองค์.
ส่วนหนึ่งจากหลักฐาน คือ คำตรัสของอัลลอฮ์ ตะอาลา ที่ว่า :﴿مَا اتَّخَذَ اللَّهُ مِنْ وَلَدٍ وَمَا كَانَ مَعَهُ مِنْ إِلَهٍ إِذًا لَذَهَبَ كُلُّ إِلَهٍ بِمَا خَلَقَ وَلَعَلَا بَعْضُهُمْ عَلَى بَعْضٍ سُبْحَانَ اللَّهِ عَمَّا يَصِفُونَ ﴾ (อัลลอฮ์ไม่มีบุตร
และไม่มีพระเจ้าอื่นใดเป็นภาคีร่วมกับพระองค์ หากเป็นเช่นนั้น
พระเจ้าแต่ละองค์จะควบคุมเหนือสิ่งที่สร้างขึ้นมา และพระเจ้าเหล่านั้นก็จะพยายามเอาชนะกันและกัน
อัลลอฮ์ทรงบริสุทธิ์จากสิ่งที่พวกเขากล่าวอ้าง)[ซูเราะฮ์ อัลมุอ์มินูน : 91]
และโองการนี้ประกอบด้วยสิ่งที่นักวิชาการเรียกว่า "ดะลีลอัตตะมานุอ" หมายความว่า
หากเราตั้งสมมติฐานว่ามีพระเจ้าอื่นเทียบเคียงกับอัลลอฮ์ด้วย ผลของมันก็คือ:เป็นไปได้ที่พระเจ้าเหล่านั้นยอมรับในความเป็นพระเจ้าของอัลลอฮ์หรือไม่ก็โต้แย้งกับพระองค์ดังนั้น
สมมติฐานแรกทำให้ความเป็นพระเจ้าของพระเจ้าอื่นจากอัลลอฮ์เป็นโมฆะไป
เนื่องจากผู้ที่ยอมจำนนย่อมเป็นพระเจ้าไม่ได้
หรือพระเจ้าเหล่านั้นได้ขัดแย้งกับพระองค์ในการปกครองและอำนาจ
ดังนั้นผลกระทบของความขัดแย้งนี้จะปรากฏในจักรวาลที่เกิดจากการเอาชนะกันในการเป็นพระเจ้า
และพระเจ้าแต่ละองค์ก็นำสิ่งที่ตนสร้างนั้นมาปกครอง
โดยพระเจ้าแต่ละองค์มีลักษณะเฉพาะในการสร้างของตน
และทรงบริหารจัดการมันและแน่นอนพวกท่านจะได้เห็นถึงอำนาจการปกครองของแต่ละองค์จะแตกต่างจากองค์อื่นๆ
และบางองค์ก็มีชัยเหนืออีกองค์หนึ่ง
เหมือนที่พวกท่านเห็นสถานะของบรรดาราชาแห่งโลกซึ่งอาณาจักรของพวกเขาแตกต่างกัน
และพวกเขาจะชิงดีชิงเด่นกัน
และเมื่อพวกท่านไม่เห็นถึงสิ่งใดที่บ่งบอกถึงความแตกต่างของอาณาจักรและการชิงดีชิงเด่นของบรรดาพระเจ้า
ดังนั้น จงรู้เถิดว่า
แท้จริงพระองค์คือพระเจ้าองค์เดียวซึ่งในพระหัตถ์ของพระองค์มีอำนาจเหนือทุกสิ่ง
และถ้ามีคนพูดว่า: หากมีการเห็นพ้องกันระหว่างบรรดาพระเจ้า
ดังนั้นพระเจ้าแต่ละองค์ก็จะปกครองสิ่งที่ตนเองได้สร้างโดยไม่มีการแตกแยกหรือขัดแย้งกัน
ถ้าเป็นเช่นนี้
ก็จะเป็นหลักฐานที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่แสดงถึงความไม่เที่ยงแท้ของความเป็นพระเจ้าของพวกเขา
เพราะพระเจ้าทุกองค์
จะมีความเป็นพระเจ้าที่ไม่สมบูรณ์ในสายตาของกลุ่มที่พระองค์ไม่ได้สร้างสิ่งนี้นำไปสู่ความไม่สมบูรณ์ของพระเจ้าแต่ละองค์
ซึ่งมันเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ เพราะความเป็นพระเจ้าต้องการความสมบูรณ์แบบ
ไม่ใช่ความบกพร่อง
- ส่วนหลักฐานที่บ่งบอกว่า
วาญิบต้องให้เอกภาพต่ออัลลอฮ์ ในด้านความเป็นพระเจ้าของพระองค์ ซึ่งเรียกว่า
เตาฮีดอัลอิบาดะฮ์
คือการทำอิบาดะฮ์ต่ออัลลอฮ์เพียงพระองค์เดียวทั้งที่เป็นอิบาดะฮ์ที่เปิดเผยของร่างกายภายนอกและไม่เปิดเผยจากภายใน
เช่น การละหมาด การขอดุอาอ์ การอ่อนน้อมถ่อมตน การมอบหมาย การยอมจำนน การยำเกรง
และการหวัง การเชือดสัตว์พลี การสาบาน การขอความช่วยเหลือ การขอความคุ้มครอง
การแสวงหาความช่วยเหลือ และประเภทอื่น ๆ ของการประกอบอิบาดะฮ์ ซึ่งทั้งหมดนั้นต้องบริสุทธิ์ต่ออัลลอฮ์
เพียงองค์เดียวเท่านั้นไม่มีภาคีใดๆ กับพระองค์
อัลลอฮ์ ตะอาลา ทรงตรัสว่า :﴿یَـٰۤأَیُّهَا ٱلنَّاسُ ٱعۡبُدُوا۟ رَبَّكُمُ ٱلَّذِی خَلَقَكُمۡ وَٱلَّذِینَ مِن قَبۡلِكُمۡ لَعَلَّكُمۡ تَتَّقُونَ﴾ (มนุษย์เอ๋ย จงเคารพอิบาดะฮ์ต่อพระผู้อภิบาลของพวกเจ้าที่ทรงบังเกิดพวกเจ้า
และบรรดาผู้ที่มาก่อนพวกเจ้าเถิด เพื่อว่าพวกเจ้าจะยำเกรง)[ซูเราะฮ์ อัลบะเกาะเราะฮ์ : 21].
ดังนั้นพระผู้ทรงอภิบาลนั้น คือผู้ที่สมควรได้รับการอิบาดะฮ์
และอื่นจากพระองค์นั้นคือสิ่งที่ถูกสร้างมา ไม่ควรได้รับการอิบาดะฮ์.
และอัลลอฮ์ ตะอาลา
ทรงทำให้การยึดมั่นในพระเจ้าอื่นจากอัลลอฮ์ของเหล่าบรรดาผู้ตั้งภาคีเป็นโมฆะ
ด้วยหลักฐานทางสติปัญญาอันมากมาย เช่น:ไม่มีคุณลักษณะเฉพาะที่แสดงถึงความเป็นพระเจ้าในบรรดาพระเจ้าที่พวกเขาบูชา
เพราะมันเป็นสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นมา ที่ไม่ใช่ผู้สร้าง และไม่สามารถให้ประโยชน์ใด ๆ
แก่ผู้ที่บูชาพวกเขา และไม่สามารถปัดเป่าอันตรายใดๆ จากพวกเขา
และไม่ครอบครองความเป็นและความตายสำหรับพวกเขา และไม่ได้ครอบครองสิ่งใดๆ
ทั้งในฟากฟ้าและแผ่นดิน.
ซึ่งอัลลอฮ์ ตะอาลา ทรงตรัสว่า :﴿وَٱتَّخَذُوا۟ مِن دُونِهِۦۤ ءَالِهَة لَّا یَخۡلُقُونَ شَیۡـٔا وَهُمۡ یُخۡلَقُونَ وَلَا یَمۡلِكُونَ لِأَنفُسِهِمۡ ضَرّا وَلَا نَفۡعا وَلَا یَمۡلِكُونَ مَوۡتا وَلَا حَیَوٰة وَلَا نُشُورا﴾
(และพวกเขาได้เคารพบูชาต่อบรรดาพระเจ้าอื่นจากพระองค์
โดยที่พระเจ้าเหล่านั้นมิได้สร้างสิ่งใดทั้ง ๆ ที่พวกเขาถูกสร้างขึ้นมา
และพวกเขาไม่มีอำนาจที่จะให้โทษและให้คุณแก่ตัวเองได้
และพวกเขาไม่มีอำนาจควบคุมความตายและความเป็นและการฟื้นคืนชีพ)[ซูเราะฮ์ อัลฟุรกอน : 3]
และอัลลอฮ์ ทรงตรัสว่า :﴿قُلِ ٱدۡعُوا۟ ٱلَّذِینَ زَعَمۡتُم مِّن دُونِ ٱللَّهِ لَا یَمۡلِكُونَ مِثۡقَالَ ذَرَّة فِی ٱلسَّمَـٰوَ اتِ وَلَا فِی ٱلۡأَرۡضِ وَمَا لَهُمۡ فِیهِمَا مِن شِرۡكٍ وَمَا لَهُۥ مِنۡهُم مِّن ظَهِیرٍ﴾ (จงกล่าวเถิดมุฮัมมัด “พวกท่านจงวิงวอนต่อบรรดาผู้ที่พวกท่านคิดว่าเป็นพระเจ้าอื่นจากอัลลอฮ์
พวกมันมิได้ครอบครองทั้งในชั้นฟ้าและแผ่นดินแม้เท่าผงธุลี
และพวกมันมิได้มีหุ้นส่วนใดๆ ในการสร้างทั้งสองนั้น
และไม่มีผู้ใดในพวกเขาเป็นผู้ช่วยเหลือสำหรับพระองค์)[ซูเราะฮ์ สะบะอ์ : 22]
และอัลลอฮ์ ทรงตรัสว่า :﴿أَیُشۡرِكُونَ مَا لَا یَخۡلُقُ شَیۡـٔاً وَهُمۡ یُخۡلَقُونَ﴾
(พวกเขาตั้งภาคีกับสิ่งที่มิได้สร้างสิ่งใดเลย
และพวกเขาถูกสร้างมากระนั้นหรือ)[ซูเราะฮ์ อัลอะอ์รอฟ :
191]
คือ: บรรดาผู้ตั้งภาคีได้นำสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นมาเป็นภาคีร่วมกับอัลลอฮ์ในการทำอิบาดะฮ์กระนั้นหรือ
ทั้งที่พวกเขาไม่สามารถสร้างสิ่งใดๆ ได้ และยิ่งกว่านั้นคือพวกมันเป็นสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นมา
และหากนี่คือสถานะของเป็นพระเจ้าเหล่านี้
ดังนั้นการยึดสิ่งเหล่านี้เป็นพระเจ้าถือว่าเป็นความโง่เขลาเบาปัญญาที่สุด
และเป็นสิ่งที่เท็จที่สุด
- ส่วนหลักฐานที่บ่งบอกว่า
วาญิบต้องให้เอกภาพต่ออัลลอฮ์ ตะอาลา ในด้านพระนามและคุณลักษณะของพระองค์นั้น
ด้วยการที่เรารู้ว่าพระองค์ผู้ทรงสร้างไม่เหมือนสิ่งที่ถูกสร้าง
อัลลอฮ์ ตะอาลา ทรงตรัสว่า :﴿لَیۡسَ كَمِثۡلِهِۦ شَیۡءٌۖ وَهُوَ ٱلسَّمِیعُ ٱلۡبَصِیرُ﴾
(ไม่มีสิ่งใดเสมอเหมือนพระองค์
และพระองค์คือผู้ทรงได้ยิน ผู้ทรงเห็น)[ซูเราะฮ์ อัชชูรอ :
11]
﴿لَيْسَ كَمِثْلِهِ شَيْءٌ﴾ (ไม่มีสิ่งใดเสมอเหมือนพระองค์)นั่นคือ
ไม่มีสิ่งใดที่ถูกสร้างมาคล้ายกับพระองค์ ทั้งในด้านตัวตน
พระนามและคุณลักษณะของพระองค์ และในด้านการกระทำของพระองค์
เพราะพระนามของพระองค์ทั้งหมดล้วนสวยงาม 
คุณลักษณะของพระองค์เป็นคุณลักษณะที่สมบูรณ์แบบและยิ่งใหญ่
ส่วนการกระทำของพระองค์นั้น
พระองค์ทรงสร้างทุกสิ่งที่ยิ่งใหญ่โดยไม่มีผู้ใดเป็นหุ้นส่วน
ดังนั้นจึงไม่มีสิ่งใดเสมอเหมือนพระองค์
เนื่องจากความมีเอกลักษณ์และความเป็นเอกะของพระองค์ด้วยความสมบูรณ์แบบในทุกด้าน.
ส่วนหนึ่งจากหลักฐานทางสติปัญญาที่ยืนยันถึงพระนามและคุณลักษณะที่บทบัญญัติได้ชี้ถึงสิ่งนั้น
โดยการกล่าวว่า:
1- ทุกสิ่งที่ถูกสร้างที่ยิ่งใหญ่เหล่านี้
กับความหลากหลายของมัน ความแตกต่าง
ความเป็นระบบของมันในการปฏิบัติสิ่งที่เป็นประโยชน์ของมัน
และดำเนินอยู่ในแผนการที่ได้ถูกกำหนดไว้ สิ่งเหล่านี้บ่งบอกถึงความยิ่งใหญ่ของอัลลอฮ์
ความสามารถ ความรอบรู้ ความปรีชาญาณ พระประสงค์และความต้องการของพระองค์.
2- การประทานความโปรดปรานและความดี
การขจัดสิ่งอันตราย และการบรรเทาความทุกข์ยากต่างๆ  สิ่งเหล่านี้สื่อถึงความกรุณา ความเอื้ออาทร
และเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่
3- การลงโทษและการเอาคืนต่อผู้ที่ไม่เชื่อฟัง
ทั้งสองประการนี้สื่อถึงความพิโรธของอัลลอฮ์และความเกลียดชังของพระองค์ที่มีต่อพวกเขา
4- การให้เกียรติและให้รางวัลแก่ผู้ที่เชื่อฟัง
ทั้งสองประการนี้สื่อถึงความพอพระทัยและความรักของอัลลอฮ์ที่มีต่อพวกเขา
อัลลอฮ์ ตะอาลา ทรงตรัสว่า :﴿وَلَهُ ٱلۡمَثَلُ ٱلۡأَعۡلَىٰ فِی ٱلسَّمَـٰوَ اتِ وَٱلۡأَرۡضِۚ وَهُوَ ٱلۡعَزِیزُ ٱلۡحَكِیمُ﴾
(และคุณลักษณะอันสูงส่งในชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดินเป็นกรรมสิทธิ์ของพระองค์
และพระองค์คือผู้ทรงอำนาจ ผู้ทรงปรีชาญาณ)[ซูเราะฮ์ อัร-รูม 27]. ความหมายคือ: และสำหรับพระองค์นั้น
คือพระองค์ทรงมีคุณลักษณะที่สูงส่งในทุกสิ่งที่ได้กล่าวถึง
ไม่มีสิ่งใดเสมอเหมือนพระองค์
และเป็นไปไม่ได้ที่คนสองคนจะมีคุณลักษณะที่สูงส่งที่เหมือนกัน
เพราะถ้าพวกเขาทั้งสองมีคุณลักษณะที่สูงส่งที่เท่ากัน
ก็แสดงว่าไม่มีคนใดเลยที่มีความสูงส่งกว่าอีกคน และถ้าทั้งสองมีคุณลักษณะที่ไม่เท่ากัน
ก็จะมีเพียงหนึ่งในนั้นเท่านั้นที่มีคุณลักษณะที่สูงส่งที่สุด ฉะนั้น
เป็นไปไม่ได้สำหรับผู้ที่มีคุณลักษณะที่สูงส่งนั้น
จะมีผู้ที่เสมอเหมือนหรือคล้ายกับเขา
ความสำคัญที่ (1)
คำถามที่ 4- ทำไมอัลลอฮ์ทรงสร้างเรา?
และจุดประสงค์ของการดำรงอยู่ของเราคืออะไร?
คำตอบที่ 4: วิทยปัญญา (ฮิกมะฮ์) ของการสร้างเราและจุดประสงค์ของการสร้างเราขึ้นมานั้น
แท้จริงอัลลอฮ์ ผู้ทรงรอบรู้ ผู้ทรงรอบรู้อย่างละเอียด
ได้ทรงตรัสไว้ในคัมภีร์ของพระองค์ว่า :﴿وَمَا خَلَقۡتُ ٱلۡجِنَّ وَٱلۡإِنسَ إِلَّا لِیَعۡبُدُونِ﴾ (และข้ามิได้สร้างญินและมนุษย์มาเพื่ออื่นใด
เว้นแต่เพื่อเคารพภักดีต่อข้า)[ซูเราะฮ์ อัซซาริยาต :
56 ]
ดังนั้น นี่คือจุดประสงค์ที่อัลลอฮ์ทรงสร้างญินและมนุษย์มา
และได้ส่งบรรดาเราะซูลทำการเรียกร้องเพื่อสู่จุดประสงค์นั้น
มันคือการเคารพภักดีต่อพระองค์ ซึ่งรวมถึงการรู้จักพระองค์ รักพระองค์
หวนกลับมาหาพระองค์ มุ่งหน้าสู่พระองค์ และหันหลังให้จากทุกสิ่งอื่นจากพระองค์.
ดังนั้น ใครก็ตามที่เบี่ยงเบนไปจากจุดประสงค์นี้
ก็สมควรได้รับการลงโทษจากอัลลอฮ์ และใครก็ตามที่ปฏิบัติตามนั้น
เขาก็สมควรได้รับความสุขที่ยั่งยืน อัลลอฮ์ ตะอาลา ทรงตรัสว่า:﴿مَنۡ عَمِلَ صَـٰلِحاً مِّن ذَكَرٍ أَوۡ أُنثَىٰ وَهُوَ مُؤۡمِنٌ فَلَنُحۡیِیَنَّهُۥ حَیَوٰةً طَیِّبَةًۖ وَلَنَجۡزِیَنَّهُمۡ أَجۡرَهُم بِأَحۡسَنِ مَا كَانُوا۟ یَعۡمَلُونَ﴾
(ผู้ใดปฏิบัติความดีไม่ว่าจะเป็นเพศชายหรือเพศหญิงก็ตาม
โดยที่เขาเป็นผู้ศรัทธา ดังนั้นเราจะให้เขาดำรงชีวิตที่ดี
และแน่นอนเราจะตอบแทนพวกเขาซึ่งรางวัลของพวกเขาที่ดียิ่งกว่าที่พวกเขาได้เคยกระทำไว้)(ซูเราะฮ์ อัน-นะห์ลุ : 97)
ความสำคัญที่ (2)
คำถามที่ 5- แล้วใครเป็นผู้สร้างอัลลอฮ์
ตะอาลา?
คำตอบที่ 5 : มันเป็นคำถามที่ไม่ถูกต้องตั้งแต่ต้น
เพราะหากเราตั้งข้อสมมติฐานว่ามีผู้สร้างอัลลอฮ์ ตะอาลา ผู้ถามก็จะถามต่อว่า: ใครคือผู้ที่สร้างผู้สร้าง
แล้วก็จะถามอีกว่า แล้วใครคือผู้ที่สร้างผู้สร้าง ที่สร้างผู้สร้าง
และจะเกิดเป็นคำถามอย่างนี้ไปเรื่อย ๆ อย่างไม่จบสิ้น
และมันเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ในทางสติปัญญา
เพราะทุกสรรพสิ่งต้องจบที่ผู้สร้าง ที่ทรงสร้างทุกสิ่ง
และไม่มีใครสร้างพระองค์ แต่พระองค์เป็นผู้สร้างทุกสิ่งทั้งหมด ดังนั้น
แท้จริงนี่คือสิ่งที่เป็นไปตามเหตุผลและตรรกะ และพระองค์คือพระเจ้าที่แท้จริง
มหาบริสุทธิ์สำหรับพระองค์.
และหลักฐานที่กล่าวถึงเรื่องนี้คือ อัลลอฮ์ ตะอาลา ทรงตรัสว่า:﴿هُوَ ٱلۡأَوَّلُ وَٱلۡـَٔاخِرُ وَٱلظَّـٰهِرُ وَٱلۡبَاطِنُۖ وَهُوَ بِكُلِّ شَیۡءٍ عَلِیمٌ﴾
(พระองค์คือผู้ทรงแรกสุด
ผู้ทรงท้ายสุด ผู้ทรงปรากฏ และผู้ทรงเร้นลับ
และพระองค์คือผู้ทรงรอบรู้เหนือทุกสิ่ง)[ซูเราะฮ์ อัลหะดีด :
3].
และความหมายของโองการนี้ ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวว่า:"โอ้อัลลอฮ์ พระองค์คือองค์แรก
ดังนั้นไม่มีสิ่งใดอยู่เบื้องหน้าพระองค์ และพระองค์คือองค์สุดท้าย
ดังนั้นไม่มีสิ่งใดอยู่หลังพระองค์"(บันทึกโดย มุสลิม)
และท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได้กล่าวว่า:"อัลลอฮ์ทรงมีมาก่อน
และไม่มีสิ่งใดอื่นจากพระองค์"และในบางรายงาน กล่าวว่า"และไม่มีสิ่งใดก่อนหน้าพระองค์"ทั้งสองรายงานนั้น บันทึกโดยอัลบุคอรีย์.
นี่คือทางออกที่หนึ่งสำหรับคำถามนี้.
ส่วนทางออกที่สอง คือดังที่มีในหะดีษต่างๆ จากท่านนบี
ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวว่า:"ผู้คนจะยังคงสงสัยจนกระทั่งมีคำกล่าวว่า
อัลลอฮ์ทรงสร้างทุกสิ่ง แล้วใครสร้างอัลลอฮ์? ดังนั้นใครก็ตามที่พบกับคำถามในลักษณะนั้น ให้เขาผู้นั้นกล่าวว่า “ฉันศรัทธาต่ออัลลอฮ์”
และท่านเราะซูลุลลอฮ์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวว่า:"ชัยฏอนจะมาหาคนใดคนหนึ่งในหมู่พวกเจ้า
โดยมันจะกล่าวว่า ใครคือผู้สร้างท้องฟ้า? ใครคือผู้สร้างแผ่นดิน?
เขาผู้นั้นก็ตอบว่า "อัลลอฮ์" จากนั้นก็กล่าวเช่นนั้น-และเพิ่มว่า "และบรรดาเราะซูลของพระองค์"
และท่านเราะซูลุลลอฮ์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวว่า:"ชัยฏอนจะมาหาคนใดคนหนึ่งในหมู่พวกเจ้า
แล้วกล่าวว่า ใครคือผู้สร้างสิ่งนั้นสิ่งนี้? จนกระทั่งมันจะถามผู้นั้นว่า ใครคือผู้สร้างพระเจ้าของเจ้า? ดังนั้น หากมีการถามถึงแบบนั้น
ก็จงขอความคุ้มครองจากอัลลอฮ์ และให้หยุดแค่นั้น"
ทั้งหมดนั้น เป็นหะดีษที่บันทึกโดยอิหม่ามมุสลิม
ดังนั้นในหะดีษเหล่านี้:
อธิบายถึงแหล่งที่มาของคำถามนี้ นั่นคือชัยฏอน และอธิบายถึงวิธีการแก้ปัญหา
และการตอบโต้ต่อคำถามนั้น นั่นคือ.
1- ให้หยุดจากการล่องลอยตามภัยอันตรายและการหลอกลวงของชัยฏอน
2- ให้กล่าวว่า "ฉันศรัทธาต่ออัลลอฮ์ และบรรดาเราะซูลของพระองค์"
3- ให้ขอความคุ้มครองต่ออัลลอฮ์ให้รอดพ้นจากชัยฏอน
และมีรายงาน ให้ถ่มน้ำลายทางซ้ายสามครั้งและอ่านซูเราะฮ์กุลฮุวัลลอฮุอะหัด.
และจบท้ายของคำตอบนี้ อัลลอฮ์ ตะอาลา ตรัสว่า:﴿ذَ الِكُمُ ٱللَّهُ رَبُّكُمۡۖ لَاۤ إِلَـٰهَ إِلَّا هُوَۖ خَـٰلِقُ كُلِّ شَیۡءٌ فَٱعۡبُدُوهُۚ وَهُوَ عَلَىٰ كُلِّ شَیۡءٍ وَكِیلٌ﴾ (นั่นแหละคืออัลลอฮ์ ผู้เป็นพระเจ้าของพวกเจ้า
ไม่มีพระเจ้าอื่นใดที่ควรได้รับการเคารพสักการะนอกจากพระองค์เท่านั้น
ผู้ทรงบังเกิดทุกสิ่งทุกอย่าง ดังนั้นพวกเจ้าจงเคารพสักการะพระองค์เถิด
และพระองค์ทรงเป็นผู้รับมอบหมายให้คุ้มครองรักษาในทุกสิ่งทุกอย่าง)[ซูเราะฮ์ อัลอันอาม : 102].
ความสำคัญที่ (1)
คำถามที่ 6 - ทำไมความชั่วจึงถูกสร้างขึ้นมา?
คำตอบที่ 6: คำถามที่ว่า
ทำไมพระเจ้าจึงสร้างความชั่วนั้น เป็นคำถามที่ไม่ควรถูกถามหรือโต้แย้ง
เพราะอัลลอฮ์ ตะอาลา เป็นผู้สร้างและพระองค์จะไม่ถูกถามเกี่ยวกับสิ่งที่พระองค์ทรงทำ
แต่พระองค์คือผู้ถาม อัลลอฮ์ ตะอาลา ทรงตรัสว่า:﴿لَا یُسۡـَٔلُ عَمَّا یَفۡعَلُ وَهُمۡ یُسۡـَٔلُونَ﴾
(พระองค์จะไม่ทรงถูกสอบถามในสิ่งที่พระองค์ทรงทำ
และพวกเขาต่างหากที่จะถูกสอบถาม)(ซูเราะฮ์ อัล-อันบิยาอ์: 23).ส่วนวิทยปัญญาของการมีอยู่และการสร้างความดีและความชั่วนั้น
มีดังนี้:
- เพื่อเป็นการทดสอบสำหรับบุคคลที่บรรลุศาสนภาวะด้วยความดีและความชั่ว
เพื่อจะได้รู้ถึงผู้ที่อดทนจากผู้ที่ไม่อดทน และผู้ศรัทธาจากผู้ที่ไม่ศรัทธา
อัลลอฮ์ ตะอาลา ทรงตรัสว่า:﴿ٱلَّذِی خَلَقَ ٱلۡمَوۡتَ وَٱلۡحَیَوٰةَ لِیَبۡلُوَكُمۡ أَیُّكُمۡ أَحۡسَنُ عَمَلاۚ وَهُوَ ٱلۡعَزِیزُ ٱلۡغَفُورُ﴾ (ผู้ทรงสร้างความตายและชีวิต
เพื่อพระองค์จะทรงทดสอบพวกเจ้าว่า ผู้ใดในหมู่พวกเจ้ามีการกระทำที่ดีกว่ากัน
และพระองค์เป็นผู้ทรงอำนาจ ผู้ทรงอภัยยิ่ง)[ซูเราะฮ์ อัลมุลก์ :
2]
และอัลลอฮ์ สุบหานะฮ์ ทรงตรัสว่า:﴿وَنَبۡلُوكُم بِٱلشَّرِّ وَٱلۡخَیۡرِ فِتۡنَةًۖ وَإِلَیۡنَا تُرۡجَعُونَ﴾ (และเราจะทดสอบพวกเจ้าด้วยความชั่วและความดี
และพวกเจ้าจะต้องกลับไปหาเราอย่างแน่นอน)(ซูเราะฮ์ อัล-อันบิยาอ์: 35)
อัลลอฮ์ทรงสร้างบ่าวของพระองค์ในโลกนี้ ทรงใช้พวกเขา และทรงห้าม
ทรงทดสอบพวกเขาด้วยความดีและความชั่ว ทดสอบด้วยความมั่งมีและความยากจน
ความรุ่งโรจน์และความตกต่ำ ความเป็นและความตาย เพื่อเป็นการทดสอบจากพระองค์
เพื่อทดสอบพวกเขาว่า ใครในหมู่พวกเขาจะประกอบความดีได้ดีกว่ากัน
และใครจะผ่านและไม่ผ่านจากการทดสอบนี้﴿وَإِلَيْنَا تُرْجَعُونَ ْ﴾ (และพวกเจ้าจะต้องกลับไปหาเราอย่างแน่นอน)ดังนั้นเราจึงตอบแทนพวกเจ้าตามการกระทำของพวกเจ้า
หากการกระทำนั้นดี ก็จะได้การตอบแทนที่ดี และหากการกระทำนั้นไม่ดี
การตอบแทนก็จะไม่ดี.﴿وَمَا رَبُّكَ بِظَلَّامٍ لِلْعَبِيدِ ْ﴾. (และพระผู้อภิบาลของเจ้านั้น
ไม่ทรงอธรรมต่อปวงบ่าวของพระองค์)
- เพื่อรู้ถึงสิ่งที่ตรงกันข้ามกันแห่งจักรวาลนี้
ดังนั้นความดีจะไม่เป็นที่รู้จักนอกจากด้วยการรู้จักความชั่ว
ดังนั้นด้วยสิ่งที่ตรงข้ามกันนั้นทำให้หลายสิ่งหลายอย่างโดดเด่นขึ้น
ความชั่วเป็นสิ่งที่ต้องมีเพื่อการมีอยู่ของความดี
เพราะมันมีวิธีที่ตรงกันข้ามกับความดี
ความดีกับความชั่วและการกลับไปกลับมาของมนุษย์ในระหว่างทั้งสองนั้นเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติของการมีชีวิตในโลกนี้
- ความชั่วเป็นสิ่งที่มีความเชื่อมโยงกับสิ่งอื่น
ดังนั้นสิ่งที่บางคนมองว่าเป็นสิ่งที่ไม่ดี ซึ่งคนอื่นอาจมองว่าเป็นสิ่งที่ดีก็ได้
เช่น การตัดมือหัวขโมยเป็นเรื่องไม่ดีสำหรับเขาแต่เป็นสิ่งที่ดีต่อสังคม
เพราะเป็นการป้องกันไม่ให้มีการละเมิดต่อทรัพย์สินซึ่งกันและกัน
- เข้าถึงความหมายที่แท้จริงของการทดสอบอย่างยุติธรรมสำหรับผู้ที่บรรลุศาสนภาวะ
เพราะแท้จริงอัลลอฮ์ ตะอาลา
ทรงชี้แจงให้มนุษย์ได้เห็นถึงเส้นทางแห่งความดีและความชั่ว
และให้อิสระแก่เขาในการที่จะเลือกระหว่างทั้งสองนั้น
อัลลอฮ์ ตะอาลา ทรงตรัสว่า:﴿أَلَمۡ نَجۡعَل لَّهُۥ عَیۡنَیۡنِ
(เรามิได้ทำดวงตาทั้งสองข้างให้แก่เขาหรอกหรือوَلِسَاناً وَشَفَتَیۡنِ และลิ้นและริมฝีปากทั้งสองด้วยوَهَدَیۡنَـٰهُ ٱلنَّجۡدَیۡنِ﴾ และเราได้ชี้แนะทางแห่งความดี
และความชั่วแก่เขาแล้ว)[ซูเราะฮ์ อัลบะลัด : 8-10].คือ
เรามิได้สร้างดวงตาทั้งสองข้างให้แก่เขาไว้สำหรับดู
ให้มีลิ้นและสองริมฝีปากสำหรับใช้พูด และเราได้ชี้แนะแนวทางแห่งความดีและความชั่วให้แก่เขากระนั้นหรือ?
- แท้จริงความชั่วที่เราเห็นนั้น
มันไม่ใช่ความชั่วในทุกๆ ด้าน แต่มีด้านที่เป็นความดีอยู่ในนั้น
และมีความดีที่ยิ่งใหญ่มากมายแค่ไหนที่มีอยู่ในสิ่งที่เราเห็นว่าเป็นความชั่ว
บางคนอาจประสบกับโรคภัยไข้เจ็บอันเป็นเหตุที่ทำให้เขาปลอดภัยจากความชั่วร้ายที่ใหญ่กว่านั้น
บางคนอาจสูญเสียข้อตกลงทางการเงิน บางทีหากเขาได้มันมา
เขาจะเป็นผู้ที่ละเมิดและทะนงก็ได้ และบางคน ลูกอาจเสียชีวิตไป
ซึ่งบางทีถ้าเขามีชีวิตอยู่มันอาจจะเป็นความหายนะสำหรับเขาก็ได้และมนุษย์บางคนอาจสมควรได้รับนรกเพื่อเป็นผลจากกระทำของเขา
ซึ่งมันเป็นความหายนะที่แท้จริง ดังนั้น อัลลอฮ์ จึงทดสอบเขาด้วยความทุกข์บางอย่าง
แล้วเขาได้อดทนกับมัน ดังนั้นพระองค์จึงตอบแทนเขาสำหรับความอดทนของเขาด้วยสวรรค์
และมันเป็นความดีที่แท้จริงและยั่งยืน
ดังนั้นอัลลอฮ์ ผู้ทรงบริสุทธิ์ ผู้ทรงสูงส่ง
ไม่ได้สร้างความชั่วที่บริสุทธิ์มา และจะไม่นำความชั่วไปเกี่ยวโยงถึงพระองค์
ดังที่มีรายงานในหะดีษที่เศาะฮีห์ ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวว่า:"และความชั่วนั้นจะไม่พาดพิงถึงพระองค์"(บันทึกโดย มุสลิม)
- และจากการตัดสินในการมีอยู่ของความดีและความชั่วนั้น
คือเป็นการสำแดงความสามารถของอัลลอฮ์ ตะอาลา ในการสร้างสิ่งที่ตรงกันข้าม
และเป็นการแสดงให้เห็นถึงผลแห่งพระนามของพระองค์ที่ทรงอำนาจ ความหมายคือ: อัลลอฮ์ทรงทำให้ผลของพระนามและการกระทำของพระองค์ได้ปรากฎ
เช่น พระองค์ผู้ทรงอำนาจ ทรงลงโทษ ทรงมีความยุติธรรม เป็นต้น. อัลลอฮ์ ตะอาลา ทรงตรัสว่า:﴿ٱللَّهُ ٱلَّذِی خَلَقَ سَبۡعَ سَمَـٰوَ اتٍ وَمِنَ ٱلۡأَرۡضِ مِثۡلَهُنَّۖ یَتَنَزَّلُ ٱلۡأَمۡرُ بَیۡنَهُنَّ لِتَعۡلَمُوۤا۟ أَنَّ ٱللَّهَ عَلَىٰ كُلِّ شَیۡءٌ قَدِیرٌ وَأَنَّ ٱللَّهَ قَدۡ أَحَاطَ بِكُلِّ شَیۡءٍ عِلۡمَۢا﴾
(อัลลอฮ์ผู้ทรงสร้างชั้นฟ้าทั้งเจ็ด
และทรงสร้างแผ่นดินก็เยี่ยงนั้น พระบัญชาจะลงมาท่ามกลางมันทั้งหลาย
ชั้นฟ้าและแผ่นดิน เพื่อพวกเจ้าจะได้รู้ว่า
แท้จริงอัลลอฮ์นั้นเป็นผู้ทรงอานุภาพเหนือทุกสิ่งอย่าง
และแท้จริงอัลลอฮ์นั้นทรงห้อมล้อมทุกสิ่งอย่างไว้ด้วยความรอบรู้ของพระองค์)(ซูเราะฮ์ อัฏเฏาะล๊าก : 12)
และความชั่วนั้น ไม่ได้มีไว้เพื่อเป็นเป้าหมายสำหรับความชั่วในตัวมัน
และไม่ได้สร้างมันเพื่อเป็นเป้าหมายสำหรับทุกสิ่งที่พระองค์สร้าง
แต่มันเป็นผลที่กำหนดขึ้นมาเพื่อสิ่งที่ดีและมันเป็นสื่อที่นำไปสู่ความดี
ดังนั้นเมื่อเป้าหมายของมันทึ่ถูกสร้างนั้นได้เกิดผลแล้ว
มันก็จะลดน้อยลงและหายไปในที่สุด และเรื่องราวก็จะกลับไปสู่ความดีที่บริสุทธิ์.และเป็นไปไม่ได้เลยที่คนๆ
หนึ่ง จะเข้าใจถึงวิทยปัญญาของการมีอยู่ของความชั่ว
ก่อนที่เขาคนนั้นจะมีความมั่นใจว่าโลกใบนี้นั้นเป็นเพียงที่พำนักชั่วคราว
และเป็นสถานที่สำหรับการทดสอบ และเป็นสถานที่ที่ไม่สมบูรณ์
และใครก็ตามรอคอยที่จะเห็นความสมบูรณ์แบบอย่างแท้จริงในโลกนี้นั้น
แท้จริงมันขัดแย้งกับความปรีชาญาณของอัลลอฮ์
ซึ่งพระองค์ทรงกำหนดให้ที่พำนักแห่งวันอาคิเราะฮ์นั้นเป็นที่พำนักแห่งความสมบูรณ์แบบ
อัลลอฮ์ ตะอาลา ทรงตรัสถึงผู้ศรัทธาว่า:﴿یَـٰقَوۡمِ إِنَّمَا هَـٰذِهِ ٱلۡحَیَوٰةُ ٱلدُّنۡیَا مَتَـٰعٌ وَإِنَّ ٱلۡـَٔاخِرَةَ هِیَ دَارُ ٱلۡقَرَارِ﴾
(โอ้หมู่ชนของฉันเอ๋ย
แท้จริงชีวิตแห่งโลกนี้เป็นเพียงแค่ความเพลิดเพลินเท่านั้นและแท้จริงปรโลกนั้นมันเป็นที่อยู่อันมั่นคง)[ซูเราะฮ์ ฆอฟิร : 39]
ความสำคัญ (1)
คำถามที่ 7- อะไรคือวิธีการรักษาโรคความสงสัย(วัสวะสะฮ์)ในเรื่องที่เกี่ยวกับการให้เอกภาพต่ออัลลอฮ์และการศรัทธาต่อพระองค์?
คำตอบที่ 7 : การรักษาโรคความสงสัยนั้น
ทำได้ด้วยประการต่าง ๆ ดังต่อไปนี้:
- ผู้ศรัทธาจะต้องเสริมความแข็งแกร่งให้กับตัวเองด้วยความรู้
เพราะความไม่รู้เป็นทางเข้าสำหรับชัยฏอน ที่มาทั้งในรูปของญินและมนุษย์
- การรำลึกถึงอัลลอฮ์
และขอความคุ้มครองให้ห่างไกลจากชัยฏอนที่ถูกสาปแช่ง.
- ให้ยุติการคล้อยตามเสียงกระซิบกระซาบอย่างไม่หยุดหย่อนและตัดมันออกไป
- ให้ถามผู้รู้ ดั่งที่อัลลอฮ์
ตะอาลา ทรงตรัสว่า:﴿فَسۡـَٔلُوۤا۟ أَهۡلَ ٱلذِّكۡرِ إِن كُنتُمۡ لَا تَعۡلَمُونَ﴾ (ดังนั้น
พวกเจ้าจงถามบรรดาผู้รู้ หากพวกเจ้าไม่รู้)[ซูเราะฮ์ อัน-นะห์ลุ : 43].